• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 3 บทที่ 2

    บนดาดฟ้าของเรือใหญ่นั้นจัดวางโต๊ะอาหารที่อุดมสมบูรณ์ตัวหนึ่ง อาหารแม่น้ำ เนื้อโค เนื้อแพะ ผักผลไม้ กองสุมกันสิบกว่าจาน แน่นอนว่ายังมีสุราชั้นดี ด้านบนโต๊ะอาหารค้ำฉากบังแสง

    ถงป๋อสยงประมุขพรรคหมินเจียงนั่งอยู่หัวโต๊ะ กล่าวพลางยกจอกหาจิงเลี่ย เยียนเหิง และหู่หลิงหลันที่นั่งอยู่ แล้วดื่มทีเดียวจนหมด จิงเลี่ยและหู่หลิงหลันดื่มจนหมดจอกเพื่อให้เกียรติคืนอย่างอาจหาญ มีเพียงเยียนเหิงที่ดื่มสุราไม่ค่อยเป็น ยกชามน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งอึกอย่างเก้อเขิน

    เยียนเหิงอดมิได้ที่จะลอบมองไปยังถงจิ้งที่ยืนอยู่บริเวณท้ายเรือไกลๆ นางกำลังพิงกราบเรืออยู่ มือข้างหนึ่งเท้าแก้มกลมป่องเอาไว้ มืออีกข้างถือมีดสั้น สีหน้าแววตาหมองหม่นเป็นที่สุด

    ประมุขถงบิดาของนางมีอายุเพียงสี่สิบปีโดยประมาณ เครื่องหน้าค่อนข้างชัดเจนหล่อเหลา เพียงแต่เดินทางบนทะเลแม่น้ำเป็นเวลานาน สีผิวบนใบหน้าไหม้จนดำมืดยิ่งยวด เครายาวแถบหนึ่งหวีจนเป็นระเบียบ กอปรกับเรือนร่างสูงใหญ่นั้นและอาภรณ์ที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง นั่งอยู่บนที่นั่งด้วยลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา สมกับเป็นอัจฉริยบุรุษผู้นำคนนับพัน ดวงตากลมโตที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับถงจิ้งคู่นั้นวาวระยับดั่งหมู่ดาว เห็นได้ชัดถึงมาดอันเจนจัดปราดเปรื่องของมัน

    คนทั้งสามดื่มจนหมด สมาชิกพรรคที่อยู่ด้านข้างรีบเติมสุราให้พวกมัน ถงป๋อสยงถอนหายใจแล้วกล่าวคำต่ออีก

    “แต่ว่าสวรรค์กลั่นแกล้ง บุตรีคนนี้ของข้านิสัยแต่กำเนิดมิได้ใกล้เคียงกับคำว่าจิ้งเลยสักนิด ข้าเสียคู่ครองตั้งแต่ยังหนุ่ม ซ้ำยังต้องสะสางภารกิจพรรคข้างนอกแรมปี ไม่พ้นรักนางจนเกินไป นางจะเรียนยุทธ์ข้าก็พยายามทุกวิถีทางหาอาจารย์ที่ดีที่สุดให้แก่นาง เฮ้อ ทั่วทั้งพรรคหมินเจียง ก็มีเพียงบุตรีคนนี้ที่ทำให้ข้าจนปัญญา”

    เยียนเหิงอดมิได้ที่จะเห็นด้วยในใจ

    จิงเลี่ยฟังไปพลางหยิบตะเกียบคีบอาหารกินไปพลาง เผชิญหน้ากับประมุขพรรคอันดับหนึ่งแห่งเฉิงตูท่านนี้ มันมิได้เกรงใจเลยสักนิด แต่หู่หลิงหลันข้างกายมันรักษาจรรยามารยาทของตระกูลนักสู้ผู้สูงศักดิ์ตั้งแต่เด็ก จึงนั่งอยู่เงียบๆ มือทั้งสองกอบจอกสุราเอาไว้

    “อย่าได้ถือสา พวกเรากินไปด้วยคุยไปด้วยเถิด” ถงป๋อสยงยิ้มน้อยๆ บอกเป็นนัย กลับเห็นเยียนเหิงและหู่หลิงหลันยังคงเกรงใจที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมา จึงใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินเองก่อน จากนั้นคนทั้งสองจึงเริ่มยอมกินตาม

    กินไปหลายคำ ซ้ำยังจิบสุราหลายอึก ถงป๋อสยงกล่าวสืบต่อ “อันที่จริงข้ากลับถึงเฉิงตูตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว และได้รู้เรื่องบุตรีติดตามจอมยุทธ์หลายท่านฝึกฝน…บัดนี้เพิ่งมาเยี่ยมเยียน ขอจงโปรดอภัย”

    “ท่านคิดจะรอบุตรีฝึกจนเบื่อ หรือลำบากเกินไปจนรับไม่ไหวแล้วกลับบ้านเองกระมัง?” จิงเลี่ยยิ้มกล่าว ในปากยังคงเคี้ยวเนื้อโคอยู่ “แต่ว่ารอนานเพียงนี้นางก็ยังไม่กลับบ้าน ซ้ำยังรู้ว่าเรือของพวกเรามาถึงที่นี่คล้ายใกล้จะออกจากซื่อชวน จึงร้อนใจมาหานาง?”

    “ข้าก็รู้ว่าจอมยุทธ์จิงประสบการณ์เหนือผู้คน” ถงป๋อสยงประสานหมัดยิ้มน้อยๆ “แต่อย่าเข้าใจผิดว่าข้ากล่าวโทษพวกท่านนะ นังหนูได้จอมยุทธ์จิง ซ้ำยังมีอนุชนสำนักชิงเฉิงอันเลื่องชื่อท่านนี้สั่งสอนด้วยตัวเอง ช่างเป็นบุญที่บำเพ็ญเอาไว้หลายชาติภพโดยแท้ แต่ว่า…จิ้งเอ๋อร์นิสัยอหังการจริงๆ ซ้ำยังไม่เคยมีประสบการณ์คบค้าสมาคมกับผู้คน ข้าแค่กลัวว่านางอยู่ข้างนอกจะก่อเรื่องได้ง่ายๆ”

    “บุตรีเป็นของท่าน อนึ่งนางเด็กเพียงนี้ ท่านจะพานางกลับบ้านพวกเราไม่มีสิทธิ์กล่าวคำสักนิด” จิงเลี่ยกินขาแพะย่างไปพลางกล่าวไปพลาง “พาบุตรีท่านมาก็มิได้บอกกล่าวบิดาอย่างท่านสักคำ เป็นพวกเราไม่ถูกต้อง ก็ปรับข้าสักจอกเถอะ” มันกล่าวพลางหยิบจอกสุรานั้นดื่มจนหมดเกลี้ยงอีก

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook