• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ บทที่ 3 และบทที่ 4

    “ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องการข้า เหตุใดข้าต้องคิดถึง” เยียนเหิงกล่าวอย่างเฉยเมย ความเศร้าโศกของเด็กหนุ่มนั้นถูกวันเวลาทำให้เจือจางไปนานแล้ว “นับตั้งแต่ถูกเลือกเป็นศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ยึดมั่นเขาชิงเฉิงเป็นบ้านของข้า พวกเจ้าต่างหากคือคนในครอบครัวของข้า”

    “เจ้าเคยคิดหรือไม่…” โหวอิงจื้อกล่าว “หากว่าพวกเราไม่ได้เลื่อนเป็นศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญในปีนั้น ถูกส่งลงเขาไป เจ้าจะเป็นเช่นไร”

    เยียนเหิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในตอนนั้นข้าเพิ่งสิบสามปี ยังทำอะไรมิได้มาก…ข้าก็คงกลับบ้านเกิดกระมัง ฝึกปรือสองปี รวมแล้วก็ได้พละกำลัง ทำงานแบกหามสักหน่อยคงพอไปได้” มันหวนนึกขึ้นมา หากตนเองมิได้มีพรสวรรค์ฝึกยุทธ์ ชะตาชีวิตก็คงต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

    “เจ้ายังดี มีบ้านให้กลับ ไม่เหมือนกับข้า” โหวอิงจื้อกล่าวพลางมองท้องฟ้า

    เยียนเหิงย่อมรู้ถึงภูมิหลังของโหวอิงจื้อ มันไม่เหมือนกับเยียนเหิงที่เกิดในครอบครัวชาวนา โหวอวี้เถียนผู้เป็นบิดามันคือศิษย์ชิงเฉิงรุ่นก่อน แต่อดทนอยู่สิบกว่าปีก็มิอาจเลื่อนขั้นเป็นมือกระบี่ชิงเฉิงที่แท้จริงเหมือนศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญในระดับเดียวกัน ต่อมาได้ลาจากด้วยความสิ้นหวัง ลงเขาแต่งภรรยากำเนิดบุตร หางานทำเป็นผู้คุ้มกัน

    เป็นเพราะโหวอวี้เถียนทำงานนอกบ้านแรมปี ภรรยาทนต่อความเหงามิได้จึงคบหาชายชู้ ละสามีทิ้งบุตรหนีไป หลังจากนั้นไม่ทราบเบาะแส โหวอวี้เถียนสะเทือนใจอย่างมาก อาศัยสุราสลายทุกข์ตลอดวันและคืน ทำลายสุขภาพร่างกาย สุดท้ายแม้แต่งานผู้คุ้มกันก็เสียไป ไม่นานมันก็ป่วยตาย ทิ้งโหวอิงจื้อที่เพิ่งอายุสิบสองปีเอาไว้ สหายเก่าของโหวอวี้เถียนรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับสำนักชิงเฉิง จึงส่งคนขึ้นเขาถามหาความรับผิดชอบ ส่งบุตรกำพร้าคนนี้เข้าสำนักชิงเฉิง

    “ข้าไม่มีทางถอยตั้งแต่เพิ่งเริ่ม” โหวอิงจื้อกล่าวอย่างหนักแน่น ใบหน้าไม่ร่าเริงแจ่มใสเช่นในอดีต “ข้าจำต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มิฉะนั้นก็จะไม่เหลืออะไร บิดาข้าคือสวะ แต่ข้าก็รู้สึกขอบคุณที่ทำให้ข้ามีโอกาสขึ้นเขาชิงเฉิง ทว่าข้าไม่อยากเหมือนพ่อข้า”

    โหวอิงจื้อยืนขึ้น ดึงกระบี่เหล็กออกมาจากฝักกระบี่แล้วกวัดแกว่งหนึ่งรอบ จากนั้นชี้ปลายกระบี่ขึ้นฟ้า

    “ข้าเชื่อว่าสวรรค์ประทานบิดาเช่นนี้ให้ข้า เพื่อต้องการบีบให้ข้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่ง กลายเป็นสุดยอดมือกระบี่เหนือผู้คน”

    เยียนเหิงเติบโตมาด้วยกันกับมัน แน่นอนว่ามิใช่ครั้งแรกที่ได้ฟังปณิธานอันไกลลิบทำนองนี้ของมัน แต่ครานี้มีความรู้สึกประเภทหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

    โหวอิงจื้อเก็บกระบี่ กล่าวอีก “บอกกับเจ้าตามตรง เห็นเจ้าเข้าโถงกุยหยวนเร็วกว่าข้าหนึ่งก้าว ข้าไม่ยินดีอย่างยิ่ง”

    เยียนเหิงได้ยินสหายรักเปิดเผยเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้ควรตอบอย่างไร “เสี่ยวอิง…”

    โหวอิงจื้อหยุดเยียนเหิงเอาไว้ มันโยนฝักกระบี่ทิ้ง มือซ้ายตั้งท่าดรรชนีกระบี่ มือขวากวัดแกว่งกระบี่เหล็ก เริ่มใช้ ‘เพลงกระบี่เมฆาวารี’ อันเป็นวิชาระดับกลางแห่งสำนักชิงเฉิง

    ประกายกระบี่ในมือโหวอิงจื้อไหลเคลื่อนหมุนวนไม่หยุด กระบี่เมฆาวารีเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้ง แรงกระบี่อดกลั้นเนิ่นนานไม่ปล่อยออก ล้วนเป็นกระบวนท่าตั้งรับและสั่งสมแรง ที่ยากที่สุดคือไร้จังหวะให้ตีโต้ ทุกชั่วขณะล้วนต้องเตรียมระเบิดพลังออกในทันที แต่ก็ต้องพยายามรักษาสภาพอ่อนโยนดุจสายน้ำอย่างสุดความสามารถ มิให้คู่ต่อสู้รับรู้ล่วงหน้าถึงไอสังหารที่แผ่ออกมาก่อนการเปลี่ยนกระบวนท่า ภายนอกผ่อนคลายภายในตึงเครียด โดยเฉพาะคนหนุ่มที่มีนิสัยค่อนข้างแข็งกร้าววู่วามจะฝึกเพลงกระบี่ชุดนี้ให้ดีนั้นลำบากยิ่งกว่า กระบี่เมฆาวารีคือวิชาหนึ่งที่ศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญต้องฝึกในตอนต้น จุดประสงค์คือระงับอารมณ์ของศิษย์วัยหนุ่ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook