ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน รังอินทรีเหนือขุนเขา บทที่ 2
ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้น้อย เวลาล่วงเลยไปตั้งห้าปีแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าของร้านอาจเปลี่ยนคนไปแล้วก็ได้ ต่อให้ไม่ได้เปลี่ยนคน พวกเขาก็อาจจำลูกค้าเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้แล้ว
แต่ที่บอดใหญ่จ้าวพูดมาก็เป็นวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนทางหนึ่ง
หลังจากปรึกษากันคร่าวๆ อยู่ครู่หนึ่ง พวกเราก็ตัดสินใจไปลาซาทันที
ผมโทรหาจีเสี่ยวเหมี่ยน แต่เสียงตอบรับปลายสายบอกว่าเธอปิดเครื่อง พอโทรหาหม่าซานก็รอสายอยู่เป็นนานแต่กลับไม่มีคนรับ
ผมไม่เสียเวลาครุ่นคิดมากความ ตัดสินใจส่งข้อความบอกจีเสี่ยวเหมี่ยนว่าต้องออกไปจัดการธุระที่ลาซากับบอดใหญ่จ้าว คาดว่าสักสองสามวันถึงจะกลับ
หลังกลับมาจากสิบสองปันนาผมก็รู้สึกว่าการที่บอดใหญ่จ้าวไม่มีบัตรประชาชนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากไม่ใช่น้อย เลยไล่ให้เขากลับบ้านไปทำมาใหม่ ดังนั้นคราวนี้พวกเราจึงเดินทางด้วยเครื่องบินได้
พวกเราจองเครื่องบินบินไปลาซาในคืนนั้นเลย ขณะที่กำลังเดินขึ้นเครื่อง จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นของเจวียนจื่อขึ้นมา ‘พี่ห้ามไปทิเบตเด็ดขาด!’
ผมสะท้านไปทั้งตัว
หรือว่าเธอมีลางสังหรณ์ว่าผมจะไปทิเบตตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว? หรือเธอรู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้? เสี่ยวหม่ากับเจวียนจื่อ พวกเขาซ่อนงำความลับอะไรเอาไว้
ตอนเดินทางไปถ้ำงู ท่าทางของเสี่ยวหม่าก็ดูแปลกๆ ตอนพบสมุดบันทึกเล่มนั้นใหม่ๆ เขาถึงกับยอมเสี่ยงแตกคอกับพวกเรา เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมบอกว่าในบันทึกนั่นเขียนอะไรไว้ บอกก็แต่เพียงหากเรื่องพวกนี้เผยแพร่ออกไป พ่อของเขาอาจต้องตาย
คำพูดประโยคนี้มีความหมายซ่อนแฝงอยู่สองชั้น
ชั้นที่หนึ่งคือพ่อของเขาตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่
ชั้นที่สองคือชะตาชีวิตของพ่อเขาเกี่ยวพันกับบันทึกเล่มนั้นอย่างแนบแน่น ทันทีที่เนื้อหาในบันทึกหลุดออกไป พ่อของเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงถึงชีวิต
ผมไม่เข้าใจ หากบอกว่าบันทึกเล่มนั้นบันทึกเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ส่งผลต่อชีวิตคน แล้วทำไมพ่อของเสี่ยวหม่าถึงไม่ทำลายมันทิ้ง แต่กลับเก็บเอาไว้ให้เสี่ยวหม่า
เฮ้อ ผมถอนหายใจ เรื่องนี้เกรงว่าคงมีแต่ต้องหาเสี่ยวหม่าให้พบก่อนถึงจะรู้ได้
ย้อนนึกกลับไปถึงแววตาหวาดหวั่นร้อนรนของเจวียนจื่อ จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหว ผมหันมองดูผู้คนแน่นขนัดที่อยู่รอบๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่วายรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมองดูผมอยู่อย่างลับๆ
หลังจากนั่งคิดสับสนอยู่บนเครื่องบินได้ประมาณห้าชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงยังสนามบินลาซากงการ์โดยสวัสดิภาพ
ลงเครื่องได้ไม่ทันไร ผมก็เริ่มกังวลเรื่องอาการแพ้ที่สูง หลังจากลองเดินดูอยู่พักหนึ่ง ผมก็นึกโล่งอก รู้สึกว่าอาการแพ้ที่สูงไม่เห็นจะมีอะไรจึงเริ่มเดินเร็วขึ้น ผลก็คือเดินไปได้ไม่ทันไร ผมก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา บอดใหญ่จ้าวรีบเข้ามาประคองพาผมไปเรียกรถแท็กซี่ แต่เพราะพวกเราสองคนไม่ได้จองโรงแรมไว้ ดังนั้นจึงให้คนขับรถพาพวกเราไปถนนปาเจี่ยว ตั้งใจว่าไว้ไปถึงที่นั่นก่อนแล้วค่อยหาโรงแรมกัน
คนขับพาเราไปโรงแรมดังที่ชื่อปาหล่างเสวีย (บานักชอล)
ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของทิเบต บนผนังเต็มไปด้วยข่าวฝากสารพัดสารพันของพวกนักเดินทางอิสระ บ้างก็นัดหมายกันไปเนปาล อินเดีย บ้างก็นัดหมายกันไปปีนเขาเอเวอเรสต์ แต่ที่มากกว่าคือนัดบอด หาเพื่อนเดินทาง หาเพื่อนร่วมดื่มร่วมกิน ดูน่าสนุกไม่น้อย
นอกจากนี้โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นที่สนใจในวงกว้าง ก็ด้วยเพราะมันดำเนินธุรกิจไปตามความคุ้นเคยของนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวต่างชาติ ห้องพักรวมอนุญาตให้ชายหญิงพักร่วมกันได้ ก่อเกิดตำนานรักมหัศจรรย์มากมาย
แรกๆ ตอนบอดใหญ่จ้าวได้ยินว่าโรงแรมแห่งนี้อนุญาตให้ชายหญิงพักรวมกันได้ เขาก็นึกขัดเขิน เสนอให้เปลี่ยนไปหาโรงแรมที่มีแต่พวกผู้ชายพักรวมกัน ไม่อย่างนั้นเกิดสาวคนไหนปิ๊งปั๊งเขาขึ้นมาแล้วอาศัยจังหวะตอนที่เขากำลังหลับมาปู้ยี่ปู้ยำคงไม่ดีแน่
ผมมองดูบอดใหญ่จ้าวด้วยสายตาเหยียดหยัน บอกชายหญิงอยู่ด้วยกันในห้องพักรวม ห้องหนึ่งมีคนอยู่ด้วยกันอย่างน้อยก็เจ็ดแปดคน ต่อให้เขาอยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ใช่ว่าคนอื่นๆ ที่เหลือจะยินยอม! อีกอย่าง หน้าตาของเขา นอกจากพวกป้าๆ แล้ว คนอื่นมีแต่จะวิ่งหนีป่าราบเสียมากกว่า!
สุดท้ายพวกเราก็ไปทำเรื่องเข้าพักอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ บอดใหญ่จ้าวยืนหันรีหันขวางอยู่เป็นนาน สุดท้ายพอผมตัดสินใจเลือกห้องสองคน เขาก็บ่นเสียดายไม่ขาดปาก พอไปถึงห้อง บอดใหญ่จ้าวก็กระโดดขึ้นไปหมอบนอนอยู่บนเตียง ไม่แม้แต่จะล้างเท้า เสียงกรนดังสนั่นขึ้นแทบจะในทันที ผมโมโหโยนพรมเช็ดเท้าคลุมลงบนหัวเขา
ก่อนนอน ผมมองดูโทรศัพท์ จีเสี่ยวเหมี่ยนไม่ได้ตอบข้อความที่ผมส่งไป ผมโทรหาพวกเขาสองคนอีกครั้ง คนหนึ่งปิดเครื่อง อีกคนก็ยังคงไม่รับสาย
ขณะที่ผมกำลังเป็นห่วง จีเสี่ยวเหมี่ยนก็ส่งข้อความมา บอกให้ผมระวังตัว ขอให้ผมเดินทางปลอดภัย
ผมเอนหลังนอนด้วยความสบายใจ ถึงจะรู้สึกแปลกๆ ที่หม่าซานไม่ยอมรับสาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากส่งข้อความกลับไปให้จีเสี่ยวเหมี่ยน ผมก็ผล็อยหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก
เที่ยงคืน มีคนบิดลูกบิดประตูห้องของพวกเรา บอดใหญ่จ้าวประสาทสัมผัสฉับไว เขาลุกขึ้นนั่ง ถามออกไปเสียงแข็ง “ใคร!”
คนที่อยู่ด้านนอกไม่ตอบ ไม่มีเสียงขยับลูกบิดประตูอีก