• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง 5 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 2

     

    Ellie Foster :ถ้าเป็นอย่างในละคร เป็นลมไปแบบนั้นหมอต้องบอกว่าเป็นโรคร้ายแรงแหงๆ

    David Goldberg :พูดแบบนั้นกับคนที่กำลังป่วยได้ยังไงกัน

    Ellie Foster :@David Goldbergนี่คิดว่าฉันพูดเพราะอยากให้เขาเป็นโรคร้ายงั้นเหรอ ไม่ใช่ซะหน่อย

     

    Bill Cosby :อยากให้เขารีบหายแล้วลุกขึ้นมาเร็วๆ จัง ฉันชอบอาหารของเขาจริงๆ ตอนที่ได้ยินว่าเขาหมดสติยังกังวลว่าจะเป็นอะไรไปเหมือนแดเนียลซะอีก โชคดีที่แค่ร่างกายอ่อนเพลีย เรเชลก็คงจะโล่งใจเหมือนกัน

    Nick Colson :อยากเห็นเขากลับมาทำอาหารเร็วๆ ไม่ว่ายังไงเขาก็เหมาะกับชุดเชฟมากกว่าชุดคนไข้

    Bill Cosby :@Nick Colson ถ้าชุดเชฟไม่เหมาะกับคนหนุ่มที่ทุ่มเทให้กับการทำอาหารจนเป็นลมหมดสติไปก็คงไม่เหมาะกับใครอีกแล้ว ถ้าได้เห็นเขาในโรสไอส์แลนด์อีกครั้งก็คงดีสินะ

    Nick Colson :@Bill Cosby ฉันยังไม่เคยไปโรสไอส์แลนด์ แต่ก็เคยกินโชเร็กจาโน่ที่เป็นสูตรของเขา ฉันชอบมากด้วย ถึงขนาดใส่ในรายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายว่าต้องได้กินอาหารของเขา ฉันอยากให้เขาสุขภาพแข็งแรง อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะได้ลองกินอาหารที่เขาเป็นคนทำเอง

     

    “โชคดีที่ไม่มีคอมเมนต์แย่ๆ เลย”

    “จะมีใครพูดจาแย่ๆ ใส่คนที่หมดสติล่ะ”

    “ถ้ามีคนอคติ ต่อให้ทำดีแค่ไหนมันก็หาเรื่องมาพูดจาไม่ดีใส่จนได้แหละ”

    คาย่าพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วยื่นแก้วให้ ในแก้วเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงหน้าตาแปลกๆ

     

    [แพรรี่ออยสเตอร์]*

    ความสดใหม่ : 98%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 5/10

     

    “แพรรี่ออยสเตอร์…”

    “รู้จักด้วยเหรอ ดื่มสิ”

    “มันคืออะไรน่ะ”

    “รู้จักชื่อ แต่ไม่รู้ว่ามันคือเครื่องดื่มอะไรงั้นเหรอ”

    คาย่ามองมินจุนอย่างประหลาดใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วอธิบายว่า

    “เอาไว้กินแก้แฮงก์น่ะ ผสมน้ำมะเขือเทศ น้ำส้มสายชู ไข่ไก่ เกลือ พริกไทย แล้วก็ฮอตซอส แต่ฉันคิดว่าใส่แค่นั้นมันจะจืด ก็เลยใส่ซีอิ๊วลงไปด้วย”

    “ตั้งใจจะให้ฉันกินน้ำจากเศษอาหารเหรอ”

    “เป็นเศษอาหารที่ดีต่อร่างกายนะ พวกเรามักกินเวลาเมา”

    “แต่ฉันไม่ได้เมานี่นา”

    “ถ้ามันช่วยเรื่องแฮงก์ได้ มันก็ต้องดีต่อร่างกายด้วยสิ ฉันเมื่อยแขนแล้วนะ”

    ช่างเป็นทฤษฎีที่แปลกมาก แต่จะปล่อยให้แขนของคาย่าเป็นเหน็บไปก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องกินอยู่ดี มินจุนรับแก้วมาถือไว้อย่างช่วยไม่ได้ แล้วดื่มรวดเดียวหมด

    “ไม่อร่อยเลย”

    “ส่งมา”

    คาย่ารับแก้วแล้วหันกลับไป ไม่นานก็เดินถือจานกลับมา กลิ่นหอมมันที่แตะจมูกทำให้มินจุนกลืนน้ำลาย แม้จะเพิ่งดื่มน้ำที่ไม่อร่อยไป แต่น้ำนั่นก็กระตุ้นลิ้นจนทำให้น้ำลายสอ

    “ได้ยินว่าที่เกาหลีเวลาคนป่วยก็มักจะกินอาหารนี้”

    “ทำเองเหรอ”

    “เวลาฉันป่วยนายก็ทำอาหารให้เหมือนกัน การตั้งใจทำอาหารให้คนที่อยู่ข้างๆ มันมีความหมายมากเลยนะ”

    “ฉันก็คิดแบบนั้น”

    มินจุนยิ้มมองโจ๊กสีเหลืองที่มีเนื้ออกไก่ฉีกสีขาวโรยอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่โจ๊กที่ใส่ผงมาซาล่าก็คงจะเป็นโจ๊กฟักทอง แต่ว่าไม่ใช่ กลิ่นของโจ๊กมันหอมหวานเกินกว่าจะเป็นผงมาซาล่าหรือฟักทอง ไม่ใช่แค่หอมหวานเฉยๆ แต่กลิ่นของมันค่อนข้างรุนแรงมากเลยทีเดียว

    “ใส่หญ้าฝรั่นเหรอ”

    “อือ”

    “โห…”

    แล้วมินจุนก็หัวเราะออกมาเหมือนไม่อยากเชื่อ หญ้าฝรั่นเป็นเครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก เกิดจากการเอาเกสรตัวเมียของดอกหญ้าฝรั่นมาตากแห้ง เป็นวัตถุดิบที่ฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับการเอามาทำโจ๊ก พอเห็นมินจุนมองด้วยสายตาแบบนั้น คาย่าก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

    “เชฟเรเชลให้มา บอกให้นายกิน”

    “แล้วต้องเอาไปใส่ในโจ๊กด้วยเหรอ”

    “บ้านเกิดนายชอบอาหารต้มๆ ไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยเอามาใส่”

    “มันก็ใช่ แต่ปกติแล้วในโจ๊กจะไม่ใส่เครื่องเทศ แต่ใช้ข้าวกับวัตถุดิบอย่างอื่นเคี่ยวรวมกันให้ได้รสชาติที่แท้จริงออกมา”

    “หนวกหูน่า กินซะ ฉันเป็นคนทำนะ อย่าคิดว่ามันเป็นโจ๊กธรรมดาสิ”

    “รู้แล้วๆ”

    อาหารก็ทำเสร็จแล้ว บ่นไปก็จะกลายเป็นการดูถูกคาย่าที่เป็นคนทำและดูถูกหญ้าฝรั่นที่เรเชลให้มา มินจุนปัดอคติที่อยู่ในหัวแล้วตักโจ๊กเข้าปาก

    “อร่อยนี่”

    “แน่นอนสิ ก็ใครทำล่ะ”

    คาย่ายักไหล่แล้วยิ้มกว้าง เขาไม่ได้พูดเพื่อทำให้คาย่าอารมณ์ดี ตอนแรกเขาคิดว่าโจ๊กจะทำให้กลิ่นของหญ้าฝรั่นถูกเบียดบัง แต่มันกลับชัดเจนขึ้น คะแนนทำอาหารที่ได้คือแปดคะแนน การทำโจ๊กให้ออกมาได้รสชาติระดับนี้คงต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากมากมาย เขาค่อยๆ อ่านสูตรอาหาร แล้วตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงความเอาใจใส่ของคาย่า

    “แกะเนื้อไก่ออกแล้วเอากระดูกไปเคี่ยวเป็นน้ำซุป เนื้อไก่ทำให้สุกด้วยวิธีซูวี ไม่ได้ใช้เครื่องซูวีก็เลยไม่สมบูรณ์แบบมาก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่านุ่มขึ้นกว่าเดิม หลังเคี่ยวน้ำซุปก็กรองด้วยกระชอนและผ้าอีกหลายรอบ แล้วใส่ข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบลงไปต้มอีกครั้ง…แค่ทำโจ๊กทำไมขั้นตอนถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้เนี่ย”

    “รู้ตัวมั้ยว่าบางครั้งนายก็เหมือนสัตว์ประหลาด”

    “อย่าเรียกว่าสัตว์ประหลาดสิ มันเจ็บนะ”

    คาย่านั่งลงข้างๆ แล้วพิงหัวลงบนไหล่ของเขาแทนการตอบ

    “หนักนะ เอาหัวออกไปเลย”

    “บรรยากาศแบบนี้ยังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ”

    “แล้วบรรยากาศแบบนี้มันยังไงล่ะ”

    “ไม่รู้สึกว่ามันหวานๆ น่าหลงใหล น่าเอ็นดู แล้วก็รู้สึกอยากขอบคุณเหรอ”

    “ก็รู้สึก”

    “งั้นทำไมถึงทำท่าทางเฉยเมยขนาดนั้นล่ะ”

    คาย่าบ่นเหมือนไม่พอใจ มินจุนจึงยิ้มแล้วขยับตัวไปจูบปากคาย่า

    “คิดว่าแค่นี้จะชดเชยได้เหรอ จูบของนายมันมีค่าขนาดนั้นเลยหรือไง”

    “ถ้างั้นให้ทำยังไงดีล่ะ”

    “ไปเที่ยวกัน”

    เป็นคำพูดที่คิดไม่ถึง ขณะที่มินจุนกำลังเรียบเรียงเหตุผลหลายสิบอย่างที่ไม่สามารถไปเที่ยวได้อยู่ในหัว คาย่าก็หยิบอะไรบางอย่างออกมา ดวงตาของมินจุนสั่นไหวเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น

    “ฉันก็ได้พักร้อนเหมือนกัน ตั๋วมีสี่ใบ จะไปมั้ย”

    “พูดจริงเหรอเนี่ย”

    “ฉันไม่พูดเล่นหรอกน่า”

    คาย่าสะบัดกระดาษที่อยู่ในมือไปมา ดวงตาของมินจุนขยับไปทางซ้ายและขวาราวกับถูกสะกดจิต เพราะสิ่งที่อยู่ในมือของคาย่าคือตั๋วเครื่องบินไปเกาหลี

    เกาหลีเหรอ

    ปีก่อนเขายังอยู่ที่นั่นอยู่เลย ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นประเทศที่แปลกหน้าสำหรับเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะหนึ่งปีนี้เขายุ่งมาก ถึงขนาดรู้สึกว่ามันยาวนานกว่าเวลาสามสิบปีที่เขาเคยใช้ชีวิตมาเสียอีก ปกติเขาไม่ค่อยมีอาการคิดถึงบ้านสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นตั๋วอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกใจเต้น เพราะไม่ได้กลับไปนานแล้ว แต่ไม่นานเขาก็เกิดความสงสัย

    “ทำไมถึงต้องสี่ใบล่ะ หรือว่าจะเป็นตั๋วไปกลับ?”

    “เปล่า ฉันซื้อให้แม่กับเจมม่าด้วยน่ะ อีกไม่นานเจมม่าก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว แม่ก็จะเริ่มทำงานด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นครอบครัวเราจะมีเวลาได้เที่ยวด้วยกันแบบนี้สักเท่าไหร่กัน”

    “ฉันเข้าใจ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันก่อนบ้าง”

    “เรื่องเซอร์ไพรส์ ถ้าบอกก่อนแล้วมันจะเซอร์ไพรส์ได้ยังไงล่ะ”

    มินจุนรับตั๋วที่อยู่ในมือของคาย่ามาดู วันเดินทางคือสามวันหลังจากนี้ เธอคงอยากให้เขาพักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยเดินทาง

    ครอบครัว…

    คำว่าครอบครัวที่คาย่าพูดถึงทำให้เขาคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา บรูซ พ่อของคาย่า ตั๋วมีอยู่สี่ใบแต่เธอไม่ได้เอ่ยชื่อของบรูซ ถึงแม้ว่าจะได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ก็อาจจะยังมีความรู้สึกค้างคาหลงเหลืออยู่ คงลำบากใจที่จะไปเที่ยวด้วยกันหน้าตาเฉยเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

    “จะต้องเป็นทริปที่ดีแน่ๆ”

    “เธอเพิ่งเคยไปเที่ยวครั้งแรกเหรอ”

    “ก็ไม่เชิง มันแล้วแต่จะเรียกน่ะ”

    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการเที่ยวครั้งแรก เพราะสถานะการเงินของบ้านของคาย่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สามารถไปเที่ยวได้ ไม่แน่ว่าการที่ได้มาแอลเออาจเรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวสำหรับเธอก็ได้

    “ก่อนไปนายก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ”

    “เกาหลีน่าจะยังหนาวอยู่นะ”

    เดือนมีนาคมเป็นฤดูใบไม้ผลิก็จริง แต่อากาศก็ไม่ต่างอะไรกับฤดูหนาวเลย

    “ไม่เป็นไร เพราะฉันมีเสื้อโค้ตที่ซื้อไว้ตอนอยู่นิวยอร์ก”

    “แล้วฉันล่ะ”

    “บ้านที่เกาหลีไม่มีเสื้อโค้ตเก็บไว้เหรอ”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ายังมีอยู่รึเปล่า”

    เขาจากบ้านมาหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าหลังจบรายการแกรนด์เชฟเขาจะกลับไปเกาหลีพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สำรวจดูว่ายังมีเสื้อโค้ตอยู่รึเปล่า

    “ถ้าไม่มีเดี๋ยวฉันซื้อให้เอง”

    “เดี๋ยวนี้หาเงินได้เยอะก็อวดใหญ่เลยนะ”

    “กับคนอื่นฉันไม่ทำแบบนี้หรอกน่า ทำแค่กับนายเท่านั้นแหละ”

    “ทำไมทำแค่กับฉันล่ะ”

    “ก็เพราะนายไม่เคยเข้าใจผิดไม่ว่าฉันจะพูดหรือจะทำอะไร”

    ความรู้สึกของเธอปรากฏให้เห็นในแววตาคู่นั้น ความเชื่อใจที่เธอมีให้เขาอาจจะมากกว่าความเชื่อใจที่เขามีต่อตัวเองก็ได้

    “โทรบอกแม่นายสิว่าเราจะไป”

    “เวลาที่เกาหลีตอนนี้…แต่แม่ก็น่าจะตื่นอยู่นะ”

    มินจุนทำท่าลังเล แล้วไม่นานก็หยิบมือถือขึ้นมาต่อสาย

    “มินจุนเหรอ”

    “ครับ ผมเอง”

    “มีเรื่องอะไร ทำไมถึงโทรมากลางดึกแบบนี้ อ้อ ที่นั่นเป็นตอนเช้าสินะ”

    “ผมจะไปเกาหลี ก็เลยโทรมาบอกแม่”

    “พูดจาเพ้อเจ้ออะไร จะมาเกาหลีทำไม โดนไล่ออกแล้วเหรอ”

    “แม่…”

    มินจุนถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

    “ผมไม่ได้พูดเล่น ผมจะไปเกาหลีจริงๆ น่าจะอยู่ประมาณสิบวัน”

    “จะมาจริงๆ น่ะ?”

    “แม่ก็รู้นี่ว่าลูกชายแม่ไม่ใช่คนชอบพูดจาไร้สาระ”

    “ไม่รู้สิ แม่ไม่ค่อยรู้จักลูกชายตัวเองหรอก ไม่รู้ว่าชอบทำอาหารขนาดนั้น ไม่รู้ว่ามีประสาทรับรสที่แม่นยำ แล้วก็ไม่รู้ว่าพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา”

    “แม่…”

    “รู้แล้วๆ ว่าแต่มาเมื่อไหร่ล่ะ”

    “อีกสามวันครับ”

    “กะทันหันขนาดนี้เลยเหรอ”

    ลีฮเยซอนถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ซึ่งมินจุนก็เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงตกใจแบบนั้น ไม่ว่าเป็นใครถ้าได้ยินว่าลูกตัวเองที่อยู่ต่างประเทศกำลังจะกลับมาบ้านในอีกสามวันก็คงต้องตกใจทั้งนั้น มินจุนเหลือบตาไปมองข้างๆ คาย่ากำลังเอาหูแนบมือถือทั้งๆ ที่ฟังไม่ออก มินจุนจึงกดให้เป็นวิดีโอคอลล์ คาย่าเลยรีบจัดผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทางอย่างตกใจ

    “คาย่าซื้อตั๋วเซอร์ไพรส์ แต่ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนะ มีคาย่า แม่ของคาย่า แล้วก็เจมม่าด้วย”

    คาย่าเหมือนรู้ว่ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่จึงยิ้มหวานใส่กล้อง ลีฮเยซอนก็ส่งยิ้มกลับอย่างเอ็นดู

    “แหม แม่นี่ได้ลูกสะใภ้ดีจริงๆ มินจุน ถ้าจะพูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษต้องพูดว่าไงนะ”

    “แต๊งกิ้ว”

    “อ้อ ใช่ๆ แต๊งกิ้ว คาย่า”

    “ฉันยินดีค่ะ”

    พอได้ยินชื่อของตัวเองคาย่าก็รีบตอบออกไปทันควัน แต่ฮเยซอนฟังไม่ออก มินจุนจึงแปลให้ฟังเป็นภาษาเกาหลี

    “เธอบอกว่ายินดีครับ”

    “น่าเอ็นดูจริงๆ เมื่อกี้บอกว่าแม่ของคาย่าก็จะมาใช่มั้ย ดีเลย กำลังคิดอยู่เลยว่าต้องคุยเรื่องสู่ขอ ถือโอกาสนี้…”

    “เดี๋ยวแม่ สู่ขออะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ก็พูดเรื่องสู่ขอขึ้นมา ผมแค่จะไปพักผ่อนเฉยๆ”

    “ลูกเองยังมาแบบกะทันหัน แล้วแม่จะพูดเรื่องสู่ขอขึ้นมาอย่างกะทันหันบ้างไม่ได้เหรอไง”

    “มันคนละเรื่องกันเลย แล้วอีกอย่างผมกับคาย่าก็ยังไม่ได้อยู่ในวัยที่จะแต่งงานด้วย ทางฝั่งนู้นเขาก็ต้องเตรียมตัว…”

    การแต่งงาน…เขาคิดถึงเรื่องนี้ตลอด แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นคำที่ไกลตัว เหมือนเป็นเรื่องของอนาคต เมื่อเห็นว่าสีหน้าและน้ำเสียงของมินจุนดูตกใจ คาย่าก็มองอย่างสงสัย แล้วลีฮเยซอนก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า

    “ก็เตรียมซะตั้งแต่ตอนนี้ มีเวลาตั้งสามวัน มัวแต่เกี่ยงเรื่องอายุ ถ้าหลุดมือไปแล้วจะมานั่งเสียใจทีหลัง เวลาเจอคนที่ดีก็รักษาเอาไว้ให้อยู่หมัด ดูแม่สิ พอจบมหาวิทยาลัยก็แต่งงานกับพ่อ แล้วก็ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้”

    “เพราะแม่ท้องผมก็เลยแต่งงานไม่ใช่เหรอ”

    “ใครบอก”

    “คุณลุงบอกแบบนั้น”

    “เอาเถอะ ลูกสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ไม่ต่างอะไรกับสามีภรรยา ตอนที่ลูกบอกพ่อกับแม่ว่าอยู่ด้วยกัน พ่อกับแม่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะคิดว่าลูกสองคนยังไงก็จะแต่งงานกัน”

    มินจุนไม่รู้ว่าจะแย้งอะไรออกไป เมื่อเห็นมินจุนเงียบ ฮเยซอนก็เลยเบาเสียงลงแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า

    “ไม่ได้บอกว่าต้องแต่งกันทันที แต่ก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ จะให้ทำไม่รู้ไม่ชี้กับพ่อแม่ของคาย่าไปเรื่อยๆ ได้ยังไงกัน”

    “เฮ้อ รู้แล้วครับ แต่ถึงแม่ของคาย่าจะไปก็คุยกันไม่รู้เรื่องอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

    “อย่าห่วงเลย มีลูกสะใภ้เป็นชาวต่างชาติทั้งทีแม่ก็เลยลงเรียนภาษาอังกฤษเอาไว้แล้ว พ่อเองก็พูดเก่ง แม้จะออกเสียงแปลกๆ ไปหน่อยก็เถอะ แค่นี้นะ”

    “แม่! โอ๊ย…!”

    ลีฮเยซอนวางสายไปทันที มินจุนจึงได้แต่มองหน้าจอด้วยสีหน้าหมดหวัง

    “คุณแม่บอกว่ายังไงบ้างเหรอ เห็นคุยกันตั้งนาน”

    “ก็ดีใจแหละ แล้วก็…”

    มินจุนลังเลที่จะบอกว่าแม่คาดหวังว่าจะให้แต่งงานกัน แต่อีกสามวันคาย่าก็ต้องรู้อยู่ดี

    “แม่บอกว่าอีกไม่นานเราสองคนก็จะต้องแต่งงานกัน เลยอยากให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้ทำความรู้จักกัน”

    “อะไรนะ”

    คาย่าทำหน้างง

    “อย่าห่วงไปเลย ไม่ได้แต่งทันทีหรอก ก็แค่ให้เตรียมใจไว้ เฮ้อ ไม่รู้จะพูดยังไงเลย”

    “ฉันตกใจนะ แต่ก็ดีใจด้วย”

    “ดีใจเหรอ”

    “เคยคิดว่าแม่ของนายไม่ค่อยพอใจกับความสัมพันธ์ของเราซะอีก เพราะได้ยินมาว่าครอบครัวคนเอเชียส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบลูกเขยหรือสะใภ้ต่างชาติ ฉันก็เลยกังวล…”

    “จะกังวลเรื่องแบบนั้นทำไมกัน”

    “สถานการณ์ของพวกเรามันไม่ธรรมดานี่ ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงปกติ อะไรที่ไม่ปกติมันมักจะน่าเป็นห่วงเสมอ”

    น้ำเสียงหดหู่ของคาย่าทำให้มินจุนโอบไหล่ของเธอเอาไว้ บางครั้งเขาก็ลืมไปว่าไหล่ของเธอเล็กเกินกว่าจะแบกภาระหนักๆ

    “ต่อไปฉันจะทำให้เธอไม่ต้องกังวลอะไร ฉันจะช่วยแบกรับภาระของเธอให้มากเท่ากับที่เธอช่วยแบกรับภาระของฉันเหมือนกัน”

     

    “ให้ไปเกาหลีงั้นเหรอ”

    บรูซถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจราวกับคิดไม่ถึง มินจุนจึงยิ้มอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า

    “ผมรู้ครับว่าคุณคงจะยุ่ง แต่การใช้เวลากับคาย่าตอนนี้มันน่าจะมีความหมายมากเลยนะครับ การที่คาย่าทำตัวห่างเหินกับคุณไม่ใช่เพราะเธอเกลียด แต่เป็นเพราะเธอโมโหมากกว่า”

    “ขอบคุณนะที่พูดแบบนั้น แต่ก็อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ มันไม่สามารถทำให้ความผิดที่ฉันเคยก่อหายไปได้หรอก”

    “เราทำให้มันหายไปไม่ได้ แต่เราค่อยๆ ฟื้นฟูมันได้ครับ ผมคิดว่าทริปนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้างานที่บริษัทยุ่งก็คงช่วยไม่ได้…”

    “ไม่หรอก ตารางงานที่บริษัทเดี๋ยวค่อยปรับเอาก็ได้”

    บรูซเริ่มเช็กตารางงานของตัวเอง มินจุนอยากมอบของขวัญให้คาย่าเหมือนที่เธอมอบของขวัญให้เขา มันอาจเป็นการเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่เธอไม่ใช่คนอื่นสำหรับเขา อีกอย่างเขาก็แค่เสนอวิธีและเคล็ดลับง่ายๆ ให้บรูซเท่านั้นเอง หลังจากที่บรูซคุยกับเลขาฯ เสร็จก็ถอนหายใจออกมา

    “น่าจะปรับตารางได้นิดหน่อย”

    “โชคดีจังครับ”

    “คาย่าซื้อตั๋วเครื่องบินไว้หมดแล้วมั้ย ฉันเปลี่ยนตั๋วทั้งหมดเป็นเฟิร์สต์คลาสได้นะ เธอคิดว่ายังไง”

    มันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับบรูซเลย มินจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้า

    “เป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”

    “คาย่าไม่ชอบอะไรที่ฟุ่มเฟือยสินะ มีตั้งหลายอย่างที่ฉันอยากซื้ออยากทำให้ ฉันมีกำลังที่จะจ่ายได้”

    “ตอนที่คาย่า เจมม่า และคุณเกรซลำบาก…แน่นอนว่าตอนนั้นคุณบรูซเองก็ลำบากเหมือนกัน แต่ว่าประเด็นสำคัญก็คือคุณไม่ได้อยู่ข้างๆ พวกเขา”

    “มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”

    “ตอนนี้คุณบรูซอยู่บนหาดทรายสีขาวระยิบระยับ แต่แทนที่คุณจะยืนอยู่บนหาดทรายสีขาวแล้วโบกมือเรียกให้พวกเขามาที่นี่ คุณน่าจะลองเดินเข้าไปบนทางที่มีขวากหนามนั้นแล้วแบกพวกเขาออกมาด้วยตัวเองนะครับ”

    เมื่อได้ยินมินจุนพูดแบบนั้นบรูซก็เงียบไปพักใหญ่ แล้วไม่นานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

    “เคยได้ยินว่าลูกสาวจะคบกับคนที่เหมือนพ่อตัวเอง คำพูดนั้นคงจะผิดสินะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เด็กหนุ่มที่ดีแบบเธอคงจะไม่มาอยู่ข้างๆ คาย่าหรอก”

    “ขอบคุณครับ”

    “นั่นเป็นคำพูดที่ดี ใช่ ฉันเคยคิดว่าฉันเดินออกมาจากเส้นทางที่มีขวากหนามและสักวันพวกเขาก็จะเดินตามมาที่นี่ เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะเดินกลับไปยังเส้นทางนั้นแล้วพาพวกเขาออกมาเอง”

    มินจุนยิ้ม

    “มันอาจจะเจ็บนะครับ เจ็บค่อนข้างมากด้วย”

    บรูซยิ้ม

    “ฉันชินแล้วล่ะ ความเจ็บปวดนั่นน่ะ”

    หน้าที่แล้ว1 of 2

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook