• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทนำ และบทที่ 1

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    บทนำ  จุดเริ่มต้นของความชั่วร้าย

    ปี ค.ศ. 1998 หลังจากการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศเป็นระยะเวลาสิบปี ความคิดของผู้คนก็เริ่มเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นตามยุคสมัย ในวันที่ 7 กรกฎาคมปีนั้นเกิดฝนตกหนักทั่วมหานครปักกิ่ง ซึ่งฝนที่ตกครั้งนั้นถือว่าหนักหนาที่สุดในรอบสิบปี และทิ้งร่องรอยความทรงจำไว้ในใจของใครหลายๆ คน เช่น หลี่เว่ยกั๋ว

    สายฝนที่เทกระหน่ำในเวลานั้นทำให้รอบรัศมีห้ากิโลเมตรแถบชานเมืองยากที่จะเห็นเงาของใครสักคน แต่บริเวณอาคารใหญ่ของโรงพยาบาลประจำตำบลกลับยังมีเสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจอยู่มากมาย เพียงแต่ถูกเสียงลมฝนที่โหมซัดดังกลบจนแทบไม่ได้ยิน กลุ่มยามลาดตระเวนของโรงพยาบาลแห่งนี้กำลังไล่จับหัวขโมยคนหนึ่ง กางเกงของพวกเขาเปียกโชกไปหมด ทุกฝีก้าวที่ออกวิ่งล้วนกินแรงเหมือนถูกถ่วงรั้งด้วยแท่งตะกั่ว เหล่ายามลาดตระเวนต่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโกรธแค้นเจ้าหัวขโมยที่วิ่งหนีอยู่ตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะมัน พวกเขาก็คงไม่ต้องมาวิ่งตากฝนอยู่อย่างนี้หรอก

    หัวขโมยที่กำลังถูกไล่จับผู้นี้คือหลี่เว่ยกั๋ว เป็นหัวขโมยขาเป๋ที่ไม่ได้คล่องแคล่วปราดเปรียวมากนัก ขณะวิ่งหนีก็ได้ยินเสียงด่าว่าไล่มาจากข้างหลังและเสียงลมหายใจเหนื่อยหอบของตนอยู่เป็นระยะ ฝนที่ตกหนักในครั้งนี้ช่วยเขาไว้อย่างมาก เพราะทำให้เส้นทางเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน พื้นใต้ฝ่าเท้าที่เหยียบย่ำลงไปนั้นก็สูงต่ำไม่เท่ากัน เป็นหลุมลึกบ้างตื้นบ้าง ไม่ว่าจะวิ่งเก่งเพียงใดก็ไม่ได้ทำให้รวดเร็วต่างกันเท่าไหร่นัก ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกจับไปนานแล้ว ขณะที่กำลังวิ่งหนีจนสุดชีวิตนั้นหลี่เว่ยกั๋วรู้สึกราวกับว่าตนได้กลับไปในสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ขาขวาเป๋ไปเขาก็ไม่เคยวิ่งได้เร็วเท่านี้อีกเลย เขาเริ่มคิดในใจว่าวันนี้จะหนีการจับกุมพ้นหรือไม่ หากถูกจับแล้วถูกตีหรือทำร้ายร่างกายถือเป็นเรื่องเล็ก แต่หากถูกส่งเข้าคุก ชีวิตเขาก็คงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ การทำเรื่องร้ายแรงจนมีประวัติด่างพร้อยในบัญชีดำ ทั้งครอบครัวจะโดนดูถูกดูแคลน ไปที่ไหนก็คงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองใคร

    สายฝนเทกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ หยาดฝนเม็ดใหญ่ที่ตกลงมาทำให้รู้สึกเจ็บระบมบริเวณศีรษะ หลี่เว่ยกั๋วหันรีหันขวาง เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปีนกำแพงหนี เพราะตนขาไม่ดีและไม่มีแรงมากพอที่จะดันตัวเองขึ้นไป ไม่ต้องพูดถึงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักในขณะนี้เลยด้วยซ้ำ ทางประตูทางออกของโรงพยาบาลก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ที่นั่นต้องมีคนเฝ้าอยู่แน่นอน ถ้าไปก็เท่ากับเดินเข้าไปติดกับที่วางเอาไว้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลี่เว่ยกั๋วก็ตัดสินใจวิ่งไปทางมุมมืดด้านทิศตะวันตก เขารู้ว่ากำแพงแถวนั้นพังลงจนมีช่องโหว่ให้พอจะหนีออกไปได้

    หลังจากพุ่งเข้ามาในความมืด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิ่งเร็วเกินไปหรืออย่างไร หลี่เว่ยกั๋วรู้สึกว่ากลุ่มยามลาดตระเวนที่ไล่ตามมาด้านหลังได้หายไปแล้ว เพราะนอกจากเสียงสายฝนที่โหมกระหน่ำแล้วหูของเขาก็ไม่ได้ยินเสียงคนเลย เขาครุ่นคิดไปมาโดยไม่มีวี่แววจะชะลอฝีเท้าลง ขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้นจู่ๆ พื้นดินที่เท้าซ้ายก้าวลงไปกลับกลายเป็นหลุม ทำให้ขาขวาไม่มีแรงพอที่จะพยุงตัวต่อได้ หลี่เว่ยกั๋วเซล้มไปทางด้านซ้าย หกคะเมนหมุนกลิ้งไปชนประตูบานหนึ่งจนมันเปิดออก

    หลี่เว่ยกั๋วกลิ้งเข้าไปข้างในห้องห้องหนึ่ง

    ห้องที่เขากลิ้งเข้าไปเป็นห้องกึ่งใต้ดิน ธรณีประตูสูงมากจนเขาสะดุดปากเกือบกระแทกพื้นเต็มๆ ตรงประตูมีทางน้ำไหล ทำให้แม้ฝนจะตกหนักแต่น้ำก็ไหลเข้ามาในห้องได้ไม่มากนัก พื้นห้องที่ทำจากซีเมนต์ทำให้หลี่เว่ยกั๋วล้มกลิ้งไปบนพื้นเย็นเฉียบจนรู้สึกเจ็บร้าวไปถึงกระดูก เขาพยายามยันร่างตนเองขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ไม่ได้สนใจว่าที่นี่คือที่ไหน คิดเพียงแต่จะทำอย่างไรให้ตนได้ออกไปโดยเร็วที่สุด แต่ขณะก้าวขาออกไปนั้นเขากลับได้ยินเสียงคนดังขึ้นไม่ไกลจากห้องที่ตนอยู่มากนัก จึงตกใจจนต้องชักเท้าถอยกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง และรีบปิดประตูที่ตนเองกระแทกใส่เมื่อครู่ ภายในห้องมืดสนิทลงฉับพลัน กลิ่นของแอลกอฮอล์ฉุนจนทำให้โพรงจมูกของเขาแสบไปหมด

    หลี่เว่ยกั๋วเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงด้านนอก ในใจภาวนาให้กลุ่มยามลาดตระเวนไม่เข้ามาค้นที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่นัก หลังจากภาวนาไปได้ไม่ถึงครึ่งนาทีเขาก็ได้ยินเสียงคนดังอยู่ด้านนอก ด้วยความตกใจเขาจึงรีบวิ่งลึกเข้าไปในห้องอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจว่ามีอะไรอยู่บนพื้นบ้าง ทว่าวิ่งไปเพียงห้าหกเมตรก็พลันสะดุดบางอย่างจนล้มกลิ้งไป กระทั่งชนเข้ากับผนังจึงได้หยุด ผนังนั้นช่างแข็งและเย็นเฉียบ หลี่เว่ยกั๋วกระแทกอย่างแรงเสียจนต้องกัดฟันขณะหายใจ นี่น่าจะเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของห้องแล้ว

    ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก มือของหลี่เว่ยกั๋วก็คว้าเอาผ้าผืนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตัวได้ จึงรีบนำมันมาคลุมศีรษะไว้โดยไม่ทันคำนึงว่ามันคือผ้าอะไร กลิ่นของผ้านั้นแรงจนเขากลั้นไม่อยู่ จามออกมาเสียงดัง แรงสะเทือนของมันทำให้สมองของหลี่เว่ยกั๋วชาไปชั่วขณะ น้ำมูกไหลเข้าปากและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนั้นเองแสงไฟฉายจากด้านนอกได้สาดเข้ามาภายในห้อง หลี่เว่ยกั๋วตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อมน้ำมูกไว้ในปาก ไม่กล้าแม้แต่จะคายทิ้งหรือกลืนมันลงไป

    แสงสว่างจ้าจากไฟฉายสาดไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครก้าวเท้าเข้ามา หลี่เว่ยกั๋วได้ยินเสียงคนพูดดังจากทางประตู

    “ไปเถอะ มันไม่ได้อยู่ในนี้หรอก บ้าเอ๊ย! ไอ้เป๋นี่วิ่งเร็วชะมัด!” ชายคนแรกสบถขึ้น

    “แกรู้ได้ยังไง มันอาจจะนอนอยู่ในนี้ก็ได้! แกเข้าไปตรวจดูสิ” อีกคนเอ่ยตอบ

    “แล้วทำไมแกไม่เข้าไปเองวะ เอาแต่สั่งข้า ส่องไฟดูแล้วก็มีแต่ศพทั้งนั้น มันจะมีคนอยู่ได้ยังไงวะ ไปเถอะ!” ชายคนแรกพูดขึ้นอีกครั้ง

    ปัง! ทันทีที่ประตูถูกปิดลง เสียงบทสนทนาก็หายไปเช่นกัน ภายในห้องกลับมามืดอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงหลี่เว่ยกั๋วที่กำลังนอนมึนงงอยู่เล็กน้อย ในใจนึกสงสัย อะไรคือที่พูดว่า ‘มีแต่ศพทั้งนั้น’ หรือว่า…ที่นี่คือห้องดับจิต!

    ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ากลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ภายในห้องนี้คืออะไร รู้แล้วว่าผ้าที่คลุมร่างของตนเองอยู่นั้นน่าจะเป็นผ้าคลุมหน้าศพ ทำเอาทั่วทั้งร่างแข็งทื่อไปในทันใด

    เขายกมือขึ้นมาเกาหน้า รู้สึกคันมาสักพักแล้วเพราะมีคนเป่าลมใส่อยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง คน?

    หลี่เว่ยกั๋วเริ่มรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว เขาไอเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะหันหน้าไปยังทิศทางที่ลมเป่า แต่เนื่องจากภายในห้องมืดเกินไปจึงมองไม่เห็นอะไรเลย คราวนี้ลมได้เป่าเข้ามาที่จมูกของเขา จมูกที่เต็มไปด้วยเหงื่อถูกเป่าจนรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก หลี่เว่ยกั๋วพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตนสั่น ถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ฮะๆ คุณก็อยู่ที่นี่เหรอ มาทำอะไรล่ะ”

    นอกจากเสียงลมที่พัดลอดเข้ามาจากทางช่องประตูแล้ว ภายในห้องยังคงเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แต่ลมนั้นก็ยังคงเป่าใส่หน้าเขาไม่หยุดหย่อน หลี่เว่ยกั๋วรวบรวมความกล้าอยู่สักพักแล้วเอื้อมมือไปยังทิศทางของลมที่เป่ามา มือของเขาไปแตะถูกบางสิ่งที่ทั้งเย็นและนุ่มหยุ่น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขยับได้ ขณะที่เขากำลังเดาว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทันใดนั้นเอง…

    “อ๊าาา!” เสียงร้องแหลมบาดหูดังขึ้นข้างตัวของหลี่เว่ยกั๋วทันที ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเสียงแหบแห้ง

    “แม่จ๋า!” หลี่เว่ยกั๋วตกใจจนร้องออกมาแบบไม่ได้ตั้งตัว พร้อมกับโยนผ้าในมือทิ้งแล้ววิ่งล้มลุกคลุกคลานออกห่างจากตรงนั้น

    เสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าดังอยู่สักพักก็เงียบลง หลี่เว่ยกั๋วนั่งอยู่บนพื้น สั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างรุนแรง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เท้ารู้สึกไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก มือคลำมั่วซั่วไปบนร่างของตนเองอย่างบ้าคลั่ง เขาค้นเจอกล่องไม้ขีดไฟที่เปียกโชกไปหมดแล้ว และเพราะมือที่สั่นเทาจึงทำให้ไม้ขีดไฟที่ดึงออกมาแต่ละก้านนั้นล้วนร่วงหล่นลงไปบนพื้น ในที่สุดเขาก็หยิบไม้ขีดไฟก้านหนึ่งไว้ได้อย่างมั่นคงแล้วพยายามจุดไฟ แต่จุดอย่างไรก็จุดไม่ติดเพราะหัวไม้ขีดไฟนั้นชื้นเกินไป

    หลี่เว่ยกั๋วรวบรวมความกล้าขยับไปด้านข้างไม่กี่ก้าว เหยียบลงไปบนศพที่แข็งทื่อเหล่านั้น ท้องไส้เกิดอาการปั่นป่วนอย่างรุนแรง กว่าจะคลำเจอผนังได้นั้นช่างไม่ง่ายเลย เขาหยิบไม้ขีดไฟขีดไปบนผนังอย่างงกๆ เงิ่นๆ แต่เป็นเพราะออกแรงมากเกินไปไม้ขีดไฟจึงหัก ก้านที่หนึ่ง ก้านที่สอง ก้านที่สาม หลี่เว่ยกั๋วไม่ยอมแพ้ และแล้ว…‘ฟู่’ เสียงที่รอคอยก็ดังขึ้น เขาจุดไม้ขีดไฟสำเร็จทำให้รอบตัวสว่างขึ้น แสงและเงาวูบวาบไปมา

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    Comments

    comments

    Continue Reading
    Click to comment

    Leave a Reply

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

    This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook