ติ๊ง!
สิ่งที่ตอบข้อสงสัยในใจของหนิงเชวียคือเสียงพิณเสียงหนึ่ง
พิณเป็นเครื่องดนตรีชนิดเครื่องสาย ปกติมีเจ็ดสาย เสียงของมันให้ความรู้สึกอ่อนโยน ไม่ทั้งสูงหรือต่ำเกินไป สง่างามอย่างที่สุด
ที่นี่คือวัดไป๋ถ่า ท่ามกลางซากศพเกลื่อนพื้น โลหิตเจิ่งนอง คือนรกภูมิตามความเชื่อของนิกายพุทธ
เสียงพิณช่างไม่กลมกลืนกับสถานที่นี้เลย
นอกจากนี้ในวัดไป๋ถ่าไม่มีพิณ ในสถานที่นั้นก็ไม่มีใครถือพิณ
ทว่ากลับมีสาย แม้สายที่ว่านั้นจะมีเส้นเดียว แต่ตอนที่ขึงตึงอยู่หากมีคนใช้นิ้วมือมาดีดเล่นก็ทำให้เกิดเสียงพิณที่ไพเราะได้
สายพวกนั้นอยู่บนธนู บนธนูที่พลธนูแคว้นเยวี่ยหลุนหลายร้อยนายถืออยู่
เสียงพิณเสียงนั้นมาจากธนูคันหนึ่ง
เพียงแต่ว่าผู้ที่ดีดพิณออกจะรีบร้อนไปหน่อย ดังนั้นตอนที่นิ้วมือดีดสายจึงใช้แรงมากเกินไปทำให้สายธนูขาดกลาง
ต่อมาก็มีเสียงพิณดังขึ้นอีก
พลธนูหลายร้อยนายเท่ากับมีธนูหลายร้อยคัน ธนูหลายร้อยคันเท่ากับมีสายตึงๆ หลายร้อยเส้น ตอนที่นิ้วมือของคนเล่นพิณดีดสายธนูจะเกิดเสียงพิณครั้งหนึ่ง แล้วสายก็ขาด
เสียงพิณที่ชัดเจนดังต่อเนื่องกันอย่างถี่ยิบในวัดไป๋ถ่าราวกับมวลไข่มุกร่วงหล่นลงบนจานหยก ราวกับมวลเม็ดฝนตกลงบนเหยือกเหล็ก ดังระรัวไม่มีขาดตอน และคล้ายดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
ติ๊ง!…ติ๊งๆ!…ติ๊งๆๆๆๆ!
เวลาคล้ายผ่านไปนานมาก แต่ความจริงผ่านไปเพียงชั่วกะพริบตา เสียงพิณที่สดใสดังขึ้นถี่ยิบ จากนั้นก็เงียบไปในเวลาเดียวกัน เหลือไว้เพียงเสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในวัดไป๋ถ่า
บัณฑิตสวมเสื้อนวมเก่าๆ คนหนึ่งไม่รู้มาถึงตั้งแต่เมื่อใด ยืนนิ่งๆ อยู่หน้าหนิงเชวีย มองเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล กระบวยไม้ที่ผูกอยู่กับสายคาดเอวแกว่งไปมาเบาๆ
เสียงพิณหยุด สายพิณขาด
ไม้เท้าในมือของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาไม่ส่งเสียงออกมาอีก
หลังการปรากฏตัวของบัณฑิตสถานที่แห่งนั้นก็เงียบสนิท
จากนั้นมีลมพัดมา จีวรใหม่เอี่ยมของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาปลิวสะบัดช้าๆ
ไม่รู้ว่าลมนี้เกิดจากทะเลสาบหรือเกิดจากบัณฑิตผู้นี้
ถึงตอนนี้เหล่าพลธนูจึงค่อยรู้ว่าธนูที่อยู่ในมือของตนใช้การไม่ได้แล้ว และลูกธนูที่พาดอยู่บนสายก็ยิงสะเปะสะปะไปในอากาศแล้ว ไม่รู้ไปตกยังที่ใด
พวกมันมองบัณฑิตอย่างตื่นตระหนก คาดเดาได้ว่าการที่ธนูของตนเสียหายเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งสงสัยด้วยว่าคนผู้นี้คือใคร
หนิงเชวียย่อมรู้ว่าคือใคร เพราะมันก็คือคนคนนั้นที่ตนรอมาตลอด เดิมทีคิดว่าคงรอต่อไปไม่ได้แล้ว ทว่าในที่สุดมันก็ปรากฏตัว
เห็นบัณฑิตผู้นี้แล้วความตึงเครียดที่มีมาอย่างยาวนานของหนิงเชวียก็ผ่อนคลายลง มันรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายอย่างไม่จบไม่สิ้น จากฤดูสารทที่วัดลั่นเคอถึงฤดูสารทที่ทุ่งร้าง จนถึงเหมันต์ที่เมืองเฉาหยาง มันหนีตายอย่างโดดเดี่ยวมาตลอด จนกระทั่งบัดนี้ในที่สุดก็มีคนให้มันพึ่งพาแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้ช่างดีจริงๆ
ศิษย์พี่ใหญ่หันกลับมา พอเห็นหนิงเชวียที่ร่างโชกเลือดก็อดรู้สึกผิด รู้สึกละอายใจ และรู้สึกปลาบปลื้มใจมิได้ กล่าวเสียงสั่นเครือว่า
“ศิษย์น้อง ข้ามาแล้ว”
หนิงเชวียเห็นสภาพศิษย์พี่ใหญ่ที่เปื้อนฝุ่นไปทั้งตัวและเหนื่อยล้าอิดโรย รู้ว่านี่เป็นเพราะสาเหตุใดจึงสะเทือนใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ กล่าวเสียงสั่นเครือว่า
“ศิษย์พี่ ท่านมาแล้ว”
คำพูดสองประโยคนี้แทบจะพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ศิษย์พี่ศิษย์น้องชะงักมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มไอ
หนิงเชวียไอเพราะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ก็ไอด้วย เห็นสภาพอิดโรยของศิษย์พี่ใหญ่แล้วจึงอดกังวลไม่ได้ว่ามันก็ได้รับบาดเจ็บด้วยใช่หรือไม่
แต่สถานการณ์ตอนนี้ยังคงตึงเครียด แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว หากก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะชนะเจ้าคณะฝ่ายเทศนาซึ่งอยู่ในด่านอมตวัชระได้
หนิงเชวียถามตรงๆ ว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสามารถพาพวกเราหนีไปได้ไหม แบบเดียวกับที่ท่านมาน่ะ”
ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้า
“แค่หนึ่งคนก็ยังดี” หนิงเชวียยังไม่ถอดใจ หันไปมองซังซังครั้งหนึ่ง
ศิษย์พี่ใหญ่ตอบว่า
“ข้าด่านฌานไม่สูง จำนวนครั้งที่ใช้ได้จึงมีจำกัด ไม่สามารถพาพวกเจ้าออกไปได้จริงๆ อีกทั้งระยะนี้ด่านฌานก็ไม่ค่อยเสถียร”
“ถ่อมตัวไปไย ถ้าศิษย์พี่ด่านฌานไม่สูงแล้วใครด่านฌานสูง”
หนิงเชวียกล่าว จากนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ไออยู่ตลอด และตอนนี้ก็บอกเองด้วยว่าด่านฌานส่งสัญญาณว่าไม่เสถียรจึงรู้สึกเป็นห่วง ถามว่า
“ศิษย์พี่ ด่านฌานของท่านเกิดปัญหาอะไรหรือ”