• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี 24_1

    ศิษย์พี่ใหญ่ตอบตามตรงว่า

    “หนึ่งปีมานี้สัญจรไปทุกหนแห่ง ไม่มีเวลาฝึกฝนสภาวะจิตเดิมให้มั่นคง นี่คือสาเหตุหนึ่ง ส่วนสาเหตุหลักคือเหนื่อยนิดหน่อย”

    เหนื่อยนิดหน่อย…คำตอบแสนเรียบง่าย ทว่าต้องเหนื่อยถึงขั้นไหนจึงทำให้ผู้ฝึกฌานซึ่งอยู่เหนือด่านฌานทั้งห้าเกิดอาการด่านฌานไม่เสถียรได้

    หนิงเชวียยืนตาค้างมองใบหน้าที่ซูบเซียวของศิษย์พี่ ซาบซึ้งสะเทือนใจอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

    ทันใดนั้นเอง เจ้าคณะฝ่ายเทศนาก็เริ่มเอ่ยปากกล่าววาจา

    “เซียนเซิงใหญ่ยังไม่ล้มเลิกความคิดจะช่วยบุตรีของหมิงหวังให้หนีไปอีกอย่างนั้นหรือ มหันตภัยครั้งนี้เริ่มเปิดฉากแล้ว หรือเจ้าสามารถทนเห็นผู้คนบนโลกตายอย่างน่าเวทนาเช่นเดียวกับผู้คนที่ตายในวันนี้ได้จริงๆ”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองศพของผู้คนที่นอนจมกองเลือด มองซากแขนขาที่ขาดกระเด็น มองลำไส้เครื่องในที่ไหลออกมาเต็มพื้น รู้สึกว่าพื้นรองเท้ามีเลือดข้นๆ ติดเหนอะ สีหน้าก็ซีดเผือด ดวงตาฉายแววหม่นหมอง

    ดวงตาของมันก็เหมือนตัวมัน ไม่ว่าจะสะท้อนภาพที่โหดร้ายเพียงใด หรือโลกที่สกปรกแค่ไหน ก็ยังคงใสซื่อบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้เองจึงหม่นหมองเพราะความเศร้าใจ

    หนิงเชวียรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนอ่อนโยน ดีงาม และมีเมตตาธรรมเพียงใด เห็นมันมีสีหน้าหม่นหมอง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่น ไม่กล้าสบตามัน

    ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ปกปิดอารมณ์ของตน เพราะมันไม่รู้ว่าการปกปิดอารมณ์นั้นต้องทำอย่างไร หลังจากหม่นหมองอยู่นานจึงค่อยๆ สงบใจลงได้

    จากนั้นก็มองเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้วกล่าวช้าๆ ว่า

    “อาจารย์ให้ข้านำข้อความมาบอกท่าน”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดจีวรเบาๆ ปราณพุทธะเลือนรางสายหนึ่งแผ่ออกมาจากหว่างนิ้ว ปกคลุมช่องทางเดิน แบ่งโลกออกเป็นภายในและภายนอก

    “ฤดูสารท รัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบหก ข้าไปวัดเสวียนคง ท่านหลบหน้าไม่ออกมาพบ ฤดูสารทปีนี้ข้าก็ไปวัดเสวียนคงอีก ท่านยังคงหลบหน้าไม่ออกมา วันนี้ในเมื่อได้พบกันแล้ว ในที่สุดก็สามารถให้ท่านได้ฟังคำพูดเหล่านี้”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้วกล่าวว่า

    “ไม่ว่าจะเป็นราตรีนิรันดร์หรือที่นิกายพุทธเรียกว่ายุคสิ้นสุดของพุทธกาลล้วนไม่ใช่อนาคตที่พวกเราอยากเห็น สถานศึกษาย่อมไม่นิ่งดูดายมองโลกแห่งความมืดมาเยือน แต่อาจารย์เห็นว่าการจะหลบเลี่ยงการมาเยือนของโลกแห่งความมืดไม่จำเป็นต้องฆ่าบุตรีของหมิงหวัง”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนากล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า

    “ปฐมพุทธะทิ้งคำทำนายไว้ เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็เห็นเป็นประจักษ์แล้ว ไอเย็นในร่างของบุตรีของหมิงหวังก็คือตราประทับที่หมิงหวังใส่ไว้ในตัวนาง เมื่อนางตื่นหมิงหวังจะสามารถมาเยือนโลกได้ แล้วจะไม่ฆ่านางได้อย่างไร”

    ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่า

    “ตลอดมาอาจารย์ไม่เชื่อเรื่องการดำรงอยู่ของโลกแห่งความมืดเพราะอาจารย์หาโลกแห่งความมืดไม่เจอ และต่อให้หมิงหวังมีจริง อาจารย์ก็ไม่เชื่อว่าสายตาของหมิงหวังจะทะลุทะลวงตามหาไปเรื่อยๆ ในบรรดาเจ็ดหมื่นโลกได้”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาขมวดคิ้วถามว่า

    “เหตุใดจอมปราชญ์จึงพูดเช่นนี้”

    ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่า

    “เพราะอาจารย์เห็นว่าสรรพชีวิตมักพัฒนาไปในทางที่ยกระดับความรู้และสติปัญญา ค่อยๆ ละทิ้งกายเนื้อ ความหมายของอาจารย์คือสิ่งมีชีวิตยิ่งมีระดับชั้นสูงก็ยิ่งขี้เกียจ ซึ่งคำว่าขี้เกียจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความขี้เกียจทั่วๆ ไป เอาเป็นว่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอย่างหมิงหวังเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการที่ยากลำบากเช่นนี้เพื่อตามหาโลกมนุษย์”

    คิ้วสีเงินของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาพัดกระพือช้าๆ ขณะกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า

    “แต่นี่คืออนาคตที่ปฐมพุทธะมองเห็น”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองหน้ามันแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า

    “อาจารย์บอกว่าสิ่งที่ปฐมพุทธะเห็นใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนากล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า

    “ปฐมพุทธะยังกล่าวไว้ด้วยว่าจอมปราชญ์ไม่เคยพูดอะไร”

    ตอนนี้ในวัดไป๋ถ่ามีคนอยู่หลายหมื่นคน แต่ช่องทางตรงกลางถูกปราณพุทธะปิดไว้ นอกจากคนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ในช่องทางแล้วก็ไม่มีผู้ใดได้ยินคำสนทนานี้

    ชีเหมยต้าซือที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าคณะฝ่ายเทศนาได้ยิน หนิงเชวียกับซังซังที่อยู่ด้านหลังศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ยิน แต่ได้ยินก็คือได้ยิน ไม่มีความหมายอื่นใด เพราะด้วยระดับในตอนนี้ของพวกมันยังไม่สามารถเข้าใจคำสนทนาเหล่านี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น

    แต่คำพูดประโยคต่อไปของจอมปราชญ์ที่ศิษย์พี่ใหญ่ถ่ายทอดให้ฟังนั้นชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นชีเหมยต้าซือจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายกำลังครุ่นคิด หนิงเชวียสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจเกิดความหวัง

    “อาจารย์กล่าวว่าหากไอเย็นในร่างของซังซังคือตราประทับที่หมิงหวังใส่ไว้ ถ้าปลดปล่อยออกมาก็จะทำให้หมิงหวังสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของโลกมนุษย์ เช่นนั้นเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วหมิงหวังไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้ซังซังเติบโตอยู่ที่โลกมนุษย์นานขนาดนี้แล้วจึงค่อยตื่น”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองตาเจ้าคณะแล้วกล่าวต่อ

    “การคาดคะเนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่าคือหมิงหวังไม่ได้หวังตั้งแต่แรกว่าซังซังจะสามารถปกปิดตัวตนในโลกของเฮ่าเทียนได้ตลอดกาลแล้วมีโอกาสเติบโตจนกระทั่งถึงเวลาตื่น ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นหมิงหวังก็รู้อยู่แล้วว่าซังซังต้องตาย ถึงขั้นกำลังรอให้นางตาย นี่เพราะเหตุใด เพราะมีแต่ซังซังตายแล้วเท่านั้นตราประทับที่ผนึกไว้ในร่างกายนางจึงจะปลดปล่อยออกมา จากนั้นก็เปิดเผยตำแหน่งของโลกมนุษย์ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำคือปกป้องนาง ไม่ใช่ฆ่านาง”

    ในวัดเงียบสนิท น้ำในทะเลสาบหน้าเจดีย์ขาวกระเพื่อมเล็กน้อย คนทั้งห้าที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ถูกตัดขาดอยู่คนละโลกกับฝูงชน ก็เงียบงันไปพร้อมกันเป็นเวลานาน

    หลังจากฐานะบุตรีของหมิงหวังถูกเปิดเผย ซังซังก็เริ่มถูกตามล่าจากนิกายพุทธและนิกายเต๋ารวมถึงคนทั้งโลก ทุกคนต่างคิดว่าต้องสังหารนางเท่านั้นตราประทับที่หมิงหวังใส่ไว้ในตัวนางจึงหายไป โลกมนุษย์จึงสามารถรอดพ้นจากสายตาของหมิงหวังไปตลอดกาล แต่ไม่เคยมีใครฉุกคิดเลยว่าหมิงหวังแม้มีบุตรและบุตรีเจ็ดหมื่นคน แต่หากบุตรีคนหนึ่งตายไปมีหรือมันจะไม่รู้

    นี่ไม่ได้หมายความว่าบรรดาบุคคลชั้นสูงของนิกายพุทธและเต๋าโง่เขลา แต่เป็นเพราะความเฉื่อยเนือยต่อแนวความคิดที่หยั่งรากลึก หลวงจีนนิกายพุทธเชื่อมั่นเทิดทูนคำทำนายของปฐมพุทธะศิษย์นิกายเต๋าเชื่อหมดใจต่อโองการของเฮ่าเทียนรวมทั้งความหวาดกลัวต่อความหนาวเหน็บจากการมาเยือนของโลกแห่งความมืด ทำให้พวกมันไม่อาจคิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น

    แต่ในสายตาของจอมปราชญ์ ปฐมพุทธะก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ส่วนเฮ่าเทียนเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่มีอิทธิพลต่อความคิดของมันอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เฉื่อยเนือยต่อการคิด ดังนั้นจึงสามารถคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้

    กาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นเพราะเงียบสนิทจึงคล้ายไม่ได้ผ่านไป แสงเรืองรองบนเจดีย์ขาวค่อยๆ เปลี่ยนไป ต้นหลิวริมทะเลสาบเหมือนกำลังแตกหน่อ ที่แห่งนั้นยังคงไม่มีใครพูดจา

    หนิงเชวียมองเจ้าคณะฝ่ายเทศนา มือขวาที่จับด้ามดาบสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัวและไม่ได้กำลังรวบรวมไอสังหารหรือพลังใจ แต่กำลังรอคำตอบจากฝ่ายตรงข้ามอย่างกระวนกระวาย…ถ้าเจ้าคณะฝ่ายเทศนาเห็นด้วยกับความคิดของจอมปราชญ์ นิกายพุทธก็จะไม่ตามล่าซังซังอีก ทั้งยังจะเปลี่ยนกลับตาลปัตรมาเป็นรับผิดชอบความปลอดภัยของซังซัง

    วันคืนแห่งการหนีตายอันยาวนานในที่สุดก็ได้เห็นแสงสว่างแล้ว อารมณ์ของมันไม่แค่ไม่สงบ แต่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมมั่นใจเพราะมันเชื่อว่าการอนุมานของจอมปราชญ์นั้นถูกต้อง ในใจมันอาจารย์ถูกต้องเสมอ ไม่มีทางผิดพลาด

    แต่น่าเสียดายที่หนิงเชวียลืมไปเรื่องหนึ่ง จอมปราชญ์ในใจของศิษย์สถานศึกษามีฐานะสูงกว่าเฮ่าเทียนและปฐมพุทธะ แต่ในสายตาของศิษย์นิกายพุทธโดยเฉพาะบุคคลระดับสูงอย่างเจ้าคณะฝ่ายเทศนา จอมปราชญ์แม้สูงส่ง แต่ไม่สูงกว่าปฐมพุทธะและเฮ่าเทียน

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงโบกไม้เท้าในมือเบาๆ หัวไม้เท้าส่งเสียงกังวาน เจ้าคณะมองศิษย์พี่ใหญ่แล้วกล่าวว่า

    “ปฐมพุทธะไม่แน่ว่าจะถูก จอมปราชญ์ก็ไม่แน่ว่าจะถูกเช่นกัน ถ้าทางหนึ่งถูก อีกทางหนึ่งก็ผิด ผู้เป็นศิษย์นิกายพุทธต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของปฐมพุทธะยามมีคำโต้แย้งย่อมไม่เลือกคำโต้แย้ง”

    ศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจความหมายของเจ้าคณะฝ่ายเทศนา สีหน้าจึงหม่นหมอง ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า

    “อาจารย์พูดไม่ผิดจริงๆ การเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้อื่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดตลอดกาล”

    คิ้วสีเงินของเจ้าคณะฝ่ายเทศนากระพือขึ้นเล็กน้อย พลันกล่าวว่า

    “แต่ว่า…”

    สีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่นิ่งค้างไป จากนั้นก็เผยความยินดี หนิงเชวียกำลังหมดหวัง พอได้ยินคำว่าแต่ว่า ดวงตาที่หม่นหมองไปแล้วพลันสว่างวาบ ถามว่า

    “แต่ว่าอะไร”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนายกแขนซ้ายขึ้น ชี้ไปทางเจดีย์ขาวกลางทะเลสาบ กล่าวว่า

    “เจดีย์ขาวองค์นี้ก็เป็นสิ่งตกทอดจากปฐมพุทธะ สามารถสยบสิ่งชั่วร้ายทุกประเภท สามารถตัดขาดจากโลกภายนอก ศิษย์นิกายพุทธเราสืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ศึกษาคัมภีร์พุทธอย่างพากเพียร ไม่เคยให้ของวิเศษเช่นกระดานหมากหรือกระดิ่งพิสุทธิ์ขาดการสืบทอด แต่ไม่เคยรู้ว่าปฐมพุทธะทิ้งเจดีย์องค์นี้ไว้ในโลกมนุษย์เพื่ออะไร ตอนนี้ได้ฟังความเห็นของจอมปราชญ์ อาตมาจึงฉุกคิดได้ว่าที่ปฐมพุทธะทิ้งเจดีย์หลังนี้ไว้คงเป็นเพราะเรื่องในวันนี้”

    ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่า

    “ความหมายของท่านคือจะให้ซังซังเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเจดีย์ขาว?”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาพยักหน้า

    “เป็นเช่นนั้น”

    ศิษย์พี่ใหญ่ขมวดคิ้ว

    “ข้าคิดว่าที่ปฐมพุทธะทิ้งเจดีย์ขาวนี้ไว้คงไม่ใช่เพราะเหตุผลง่ายๆ แบบนี้”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนามองมันแล้วกล่าวว่า

    “เจดีย์ขาวกำราบสิ่งชั่วร้าย หมื่นปีจึงเปิดหนึ่งครั้ง”

    ศิษย์พี่ใหญ่หันไปมองซังซัง มันมองใบหน้าขาวซีดอิดโรยของสาวน้อย เงียบงันอยู่นานก่อนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า

    “หากทำเช่นนั้นจะต่างจากฆ่านางตรงไหน”

    สายตาของมันที่มองซังซังค่อนข้างซับซ้อน มีความสงสารแต่ก็มีความไม่สบายใจ หนิงเชวียเห็นแววตาของศิษย์พี่ใหญ่ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว คิดในใจว่าเรื่องที่ซังซังกลายเป็นบุตรีของหมิงหวังแม้แต่อาจารย์ก็คงยากจะรับได้ แต่สถานศึกษาปฏิบัติต่อมันเช่นนี้มันก็พอใจมากแล้ว

    แล้วศิษย์พี่ใหญ่ก็มองไปที่หนิงเชวีย เห็นเลือดบนใบหน้าของมัน เห็นความหม่นหมองในแววตาของมัน ดูออกถึงความเหนื่อยล้าของมัน หลังเงียบไปพักหนึ่งก็กล่าวกับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาว่า

    “ความต้องการของอาจารย์คือพานางกลับสถานศึกษา”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาส่ายหน้าปฏิเสธ

    ศิษย์พี่ใหญ่ไออีกรอบ ร่างกายสั่นจนตัวงอ เห็นได้ชัดว่าทรมานมาก ผ่านไปนานพอสมควรจึงค่อยสงบลงได้ จากนั้นกล่าวว่า

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันสักหน่อยว่าพวกเราจะหนีได้หรือไม่”

    ชีเหมยต้าซือได้ฟังก็สะดุ้งเฮือก หนิงเชวียตะลึงงัน สีหน้าซังซังบ่งบอกว่าเสียใจ นางไม่อยากให้ตนเองเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้เลยจริงๆ

    การเจรจาระหว่างสถานศึกษากับนิกายพุทธจบลงด้วยการแตกหัก

    ศิษย์พี่ใหญ่มองหนิงเชวีย ตบบ่ามันแล้วกล่าวว่า

    “ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาพวกเจ้าหนีไป พวกเราจะกลับสถานศึกษาด้วยกัน”

    อารมณ์ของหนิงเชวียตอนนี้แปลกไปจากเดิม มันก้มหน้าเงียบอยู่นานก่อนกล่าวว่า

    “ข้ารู้ดีว่าถ้าข้าขอให้ศิษย์พี่ช่วย ศิษย์พี่จะต้องช่วยข้ากับซังซังแน่นอน แม้ว่าสุดท้ายจะต้องพ่ายแพ้ พวกเราทุกคนอาจต้องตาย และท่านอาจต้องตายต่อหน้าข้าก็ตาม

    ข้าเชื่อมั่นในเรื่องนี้ แม้ว่าบางครั้งข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าความเชื่อมั่นนี้มาจากไหน…ศิษย์พี่ ตลอดมาท่านระแวงซังซัง ท่านอาจรู้มานานแล้วก็ได้ว่าซังซังคือบุตรีของหมิงหวัง แต่ตอนนี้ฐานะของซังซังถูกเปิดเผยแล้ว แล้วเหตุใดท่านยังต้องทำเช่นนี้อีก”

    ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้ม กล่าวเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

    “เพราะข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า”

    หนิงเชวียมองผู้คนมากมายในวัดไป๋ถ่า แล้วกล่าวว่า

    “แต่คนพวกนี้ไม่ยอมให้พวกเราหนี”

    ศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจความหมายของมัน นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า

    “หากถูกบีบให้ทำเรื่องร้าย ข้าเป็นศิษย์พี่นั่นก็เป็นเรื่องของข้าเอง ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

    หนิงเชวียส่ายหน้า กล่าวว่า

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook