• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 25 ตอนที่ 1

    “โองการฟ้าถือว่าความมืดคือจุดเริ่มต้นของแสงสว่าง”

    จากนั้นกล่าวว่า

    “โองการฟ้าถือว่าการเสียสละคือจุดเริ่มต้นของความดี”

    สุดท้ายกล่าวว่า

    “โองการฟ้าถือว่าแสงสว่างคือจุดเริ่มต้นของมนุษย์”

    เมื่อกล่าวจบสามประโยคนี้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าก็ลึกลงไปอีก คล้ายจะสลักเข้าไปในเนื้อ ถึงขนาดลึกเข้าไปถึงกระดูก โลหิตที่ข้นมากไหลออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง

    รอบรถลากของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้า เสินกวนชุดแดงเจ็ดคนใบหน้าเหี่ยวแห้ง ผมสีดำกลายเป็นสีขาวในทันที แก่ลงหลายร้อยปีในพริบตา และไม่หลงเหลือลมหายใจ

    หัวหน้าผู้อาวุโสชาวฮวงหลับตาลงอย่างช้าๆ จากนั้นก็หงายหลังล้มลง

    นักรบหนุ่มที่พยุงมันอยู่ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่กอดร่างของมันไว้ด้วยความโศกเศร้า ชาวฮวงที่บาดเจ็บซึ่งอยู่รอบๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้น จากนั้นก็คุกเข่า

    พลังจิตของหัวหน้าผู้อาวุโสแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าที่มีพลังจิตเข้มแข็งที่สุดของอาศรมเทพ ยังคงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายจึงเป็นมันที่ตาย

    นี่เป็นการต่อสู้ที่ดูเหมือนไม่ซับซ้อน แต่ที่จริงแล้วอันตรายมาก ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าต้องใช้พลังชีวิตของเสินกวนชุดแดงเจ็ดคนสุดท้ายจึงได้ชัยชนะ แต่หัวหน้าผู้อาวุโสชาวฮวงจนกระทั่งตัวตายก็ไม่ได้สังเวยชาวฮวงแม้สักหนึ่งคน

    หากมองจากมุมนี้ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่า

    ทางด้านกองทัพร่วม จักรพรรดิของแคว้นหนานจิ้นประทับอยู่ที่เมืองเฉิงจิง กองทัพหนานจิ้นที่ยกมาทุ่งร้างนำทัพโดยรัชทายาท ในการสู้รบก่อนหน้านี้ต้องพบกับความสูญเสียอย่างมาก แม้ยอดฝีมือจากศาลากระบี่บาดเจ็บล้มตายไปมากมาย ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าบาดเจ็บสาหัส แต่ขุมกำลังหลักของกองทัพร่วมยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

    ยังมีเค่อชิงนิกายเต๋าอีกจำนวนมาก เช่นสวนโม่ฉือแห่งแคว้นต้าเหอที่ยังไม่ได้ออกสู้รบ

    ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเยี่ยหงอวี๋ในรถลากสีโลหิตวันนี้ยังไม่ได้ลงมือ…ในการสู้รบเมื่อหลายวันก่อนนางสังหารหัวหน้านักรบชาวฮวงไปสามคน เป็นการแสดงพลังที่น่ากลัว ด้วยเพราะหัวหน้านักรบชาวฮวงเหล่านั้นมีพลังใกล้เคียงกับยอดฝีมือในมรรคาแห่งยุทธ์

    เงาร่างสูงใหญ่ของเจ้านิกายนิ่งเฉยอยู่บนรถลากคันใหญ่มาตลอด ด้านทหารม้าเกราะเหล็กของต้าถังก็เข้าโจมตีนักรบชาวฮวงหลายครั้ง แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา

    ส่วนผู้อาวุโสของชาวฮวงตายเกือบหมด หัวหน้าผู้อาวุโสตายในการต่อสู้ ถังผู้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้านักรบที่แข็งแกร่งสิบกว่าคนบ้างบาดเจ็บบ้างตาย แต่ตอนนี้ฝ่ายกองทัพร่วมยังเหลือขุมกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ยังเหลือนักรบแนวหลังมากขนาดนี้ แล้วชาวฮวงจะไม่สิ้นหวังได้อย่างไร

    สนามรบค่อยๆ สงบลง ทว่าก็สงบได้ไม่นาน เสียงกลองของฝ่ายกองทัพร่วมดังขึ้นอีก กองทัพรวมกลุ่มกันอีกครั้งเตรียมบุกโจมตีชาวฮวงเป็นครั้งสุดท้าย

    นักรบชาวฮวงหลายหมื่นคนบาดเจ็บล้มตายไปมาก แม้จิตปณิธานยังคงแข็งแกร่ง แต่เพราะคนที่ยังมีชีวิตส่วนใหญ่บาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถสู้ต่อ พวกคนในเผ่ามองถังที่คุกเข่าอยู่กลางสนามรบแล้วต่างรับรู้ตรงกันว่าวินาทีแห่งการสิ้นเผ่ากำลังจะมาถึง ความฝันและการต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบากมานับพันปีสุดท้ายกำลังจะกลายเป็นฟองอากาศ

    ทุ่งร้างเงียบสนิท จากนั้นไม่รู้ว่าเป็นใครที่นำร้องเพลง บทเพลงที่น่าเศร้าลอยไปกับสายลม เสียงร้องที่กร้านกระด้างดังสนั่นในทุ่งร้าง

    “ฟ้าก็เย็น ดินก็เย็น เหยี่ยวท้องขาวไม่กล้ามองเป่ยฮวง”

    “ทะเลขึ้น ทะเลลง ริมทะเลเร่อไห่ล่าหมาป่า”

    “หมาป่าไล่ หมาป่าตาย ถือมีดหากวางยุ่งทั้งวัน”

    “เกิดที่ไหน ตายที่ใด ที่ไหนสามารถฝังกระดูกได้”

    “หมินซานสูง หมินซานสง่า เขาหมินซานคือบ้านเกิดเรา”

    “เหยียบหิมะเวิ้งว้าง ย่ำน้ำแข็งหมื่นลี้ มองทิศใต้ทั้งวัน”

    “เหยียบหิมะเวิ้งว้าง ย่ำน้ำแข็งหมื่นลี้ ไม่มองทิศใต้อีกแล้ว”

    “ข้าไปก่อน เจ้าค่อยไป”

    “ข้าสู้ก่อน เจ้าค่อยไป”

    “ข้าตายก่อน เจ้าค่อยไป”

    “ทางกลับใกล้ ทางกลับไกล บนทางกลับจงเดินไป”

    “ข้าไปแล้ว เจ้ารีบไป”

    “ข้าสู้แล้ว เจ้ารีบไป”

    “ข้าตายแล้ว เจ้ารีบไป”

    “ข้าตายแล้ว เจ้ารีบไป”

    นี่คือเพลงบ้านเกิดที่สืบทอดกันมาของชาวฮวง ขับทำนองอยู่ท่ามกลางลมหิมะมาพันปี ในที่สุดพวกมันก็ออกจากเขตหนาวทางซีกโลกเหนือแล้ว ออกมาไกลจากทะเลเร่อไห่และทุ่งหิมะแล้ว กลับมาที่ถิ่นฐานเดิม ทว่าสิ่งที่ต้อนรับพวกมันไม่ใช่ดอกไม้และมิตรภาพอันอบอุ่น แต่เป็นสายตาที่เย็นชาและการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมจนกว่าจะสิ้นเผ่าอย่างน่าเศร้าสลด

    ในอดีตตอนที่ชาวฮวงร้องเพลงนี้จะรู้สึกเศร้าระคนฮึกเหิม บางครั้งก็รู้สึกเพียงฮึกเหิมแต่ไม่เศร้า ทว่าวันนี้นักรบชาวฮวงหลายหมื่นบ้างตาย บ้างบาดเจ็บ บ้างนั่ง บ้างนอนจมกองเลือดอยู่ในทุ่งร้าง เสียงร้องเพลงแหลมบ้าง แหบบ้าง จึงไม่อาจสอดประสานพร้อมเพรียง บางครั้งดังบางครั้งเบา น่าเศร้าสลดอย่างที่สุด

    ทันใดนั้นพลันมีเสียงกีบเท้าม้าดังมา จากนั้นก็เป็นเสียงล้อรถ ปะปนเข้ามาในเสียงเพลงที่น่าเศร้าของชาวฮวง จังหวะของเสียงร้องเพลงไม่ได้ถูกรบกวน…นั่นเพราะตอนนี้เสียงร้องเพลงของชาวฮวงก็ไม่เป็นจังหวะอยู่แล้ว…ในทางตรงข้ามเหมือนเสียงร้องเพลงได้รับจังหวะเข้ามา เป็นจังหวะที่ราบเรียบมั่นคงและดูเหมือนเฉยเมยต่อทุกสิ่ง

    ชั้นเมฆปกคลุมท้องฟ้าทางทิศเหนือ รถม้าสีดำแล่นช้าๆ มาใต้ชั้นเมฆ

    ชาวฮวงเห็นรถม้าคันนั้นก็ช่วยพยุงกันลุกขึ้นยืน ไม่ว่าจะเป็นนักรบชราผมขาว หรือนักรบหนุ่มที่ใบหน้าเยาว์วัย ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์ขาขาด หรือสตรีที่โลหิตโซมกาย เมื่อเห็นรถม้าสีดำใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นทั้งเคารพและหวาดกลัว ทว่าก็เหมือนมองเห็นความหวังสุดท้ายเช่นกัน

    สองเข่าที่ภาคภูมิใจกระทบพื้นทุ่งร้างที่เปื้อนโลหิต จุดที่รถม้าแล่นผ่านชาวฮวงพากันคุกเข่าลงโขกศีรษะคารวะ นักรบชาวฮวงที่บาดเจ็บสาหัสบางคนพอคุกเข่าลงก็ลุกขึ้นไม่ได้อีก ตายไปทั้งอย่างนั้น

    ถังคุกเข่าข้างเดียวอยู่ใจกลางสนามรบ เข่าซ้ายจมลึกลงไปในดิน เบียดของเหลวสีดำจำนวนมากขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นดินโคลนของทุ่งร้างหรือว่าโลหิตของคนในเผ่า มันเงียบงันจ้องมองรถลากคันมโหฬารที่อยู่ห่างไกล แล้วมองเงาร่างสูงใหญ่ที่เห็นได้รำไรบนหอ จากนั้นค่อยๆ ปรับพลังปราณ

    ชาวฮวงต้องเผชิญหน้ากับการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันที่เป็นศิษย์สัญจรของพรรคมารและผู้นำการต่อสู้ของชาวฮวงไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ อย่างน้อยก่อนตายจะต้องให้อาศรมเทพชดใช้อย่างสาสม

    ทุ่งร้างในตอนนี้บุคคลที่สูงส่งที่สุดและสำคัญที่สุดต่อบรรดาแคว้นในจงหยวนย่อมเป็นเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ ด้วยเหตุนี้เป้าหมายสุดท้ายในชีวิตของถังจึงเป็นมัน

    ในตอนนั้นเอง เสียงร้องเพลงของคนในเผ่าที่อยู่ด้านหลังเกิดความปั่นป่วน จากนั้นก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าและเสียงล้อรถ ถังหันกลับไปมองจึงเห็นรถม้าสีดำ

    ผิวนอกของรถม้าปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งชั้นบางๆ ในประทุนรถปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนา ยันต์อัคคีในอ่างทองเหลืองถูกความหนาวเย็นจำกัดบริเวณจนดูเหมือนไฟภูต แทบดับได้ทุกเมื่อ

    ไอเย็นในร่างของซังซังตื่นขึ้นเต็มที่แล้ว ตอนนี้ระเบิดออกมาแล้ว แต่ไม่ว่านางหรือหนิงเชวียต่างไม่รู้ว่าตราประทับของหมิงหวังสุดท้ายแล้วจะเปลี่ยนเป็นสิ่งใด

    ขนตาของหนิงเชวียมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ แสงแดดสลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างรถถูกเกล็ดน้ำแข็งพวกนี้หักเหจนกลายเป็นแสงเจ็ดสี มันได้ยินเสียงร้องเพลงของชาวฮวงที่ดังมาจากนอกหน้าต่างจึงกล่าวว่า

    “ข้าไปก่อน เจ้าค่อยไป”

    ซังซังรับว่าอืม แล้วซบหน้าเข้ากับอกมัน กล่าวว่า

    “ข้าตายก่อน ท่านค่อยไป”

    หนิงเชวียส่ายหน้ากล่าวว่า

    “ข้าตายก่อน เจ้าค่อยไป หรือไม่ก็ตายด้วยกัน”

    เมื่อเห็นรถม้าสีดำปรากฏตัวที่นี่ ค่ายของกองทัพร่วมพลันเงียบลงทันที จากนั้นกองทัพของแคว้นต่างๆ ที่รวมตัวกันอยู่ก็เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ส่วนเหล่ายอดฝีมือที่ด่านฌานสูงต่างเงียบงัน

    ตั้งแต่ฤดูสารทเมื่อสองปีก่อนที่แสงแห่งพุทธะส่องฉายที่วัดลั่นเคอ คนทั้งโลกต่างตามล่ารถม้าสีดำ รวมถึงสงครามที่ดุเดือดครั้งนี้ก็เกิดจากรถม้าสีดำ ทว่าวันนี้เมื่อรถม้าสีดำมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ทุกคนกลับรู้สึกทำอะไรไม่ถูก

    ไม่มีใครออกคำสั่ง เงาร่างสูงใหญ่บนรถลากยังคงเงียบงัน จิตใต้สำนึกสั่งให้คนในกองทัพร่วมอาศรมเทพหยุดโจมตีและรอฟังคำสั่งสุดท้าย

    รถม้าสีดำหยุดที่ด้านหน้าของชาวฮวง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook