แกรก…
หิมะบนตัวรถสะเทือนแล้วร่วงลง
ประตูรถเปิดออก ซังซังที่สวมเสื้อขนสัตว์สีดำเดินลงมา
นางมองกองทัพร่วมที่อยู่ทางใต้แล้วเดินไปข้างหน้า แต่ละก้าวที่เหยียบลงพื้น พื้นดินบริเวณที่ถูกฝ่าเท้าสัมผัสจะแข็งตัวเกิดเป็นวงน้ำแข็ง
เหมือนเดินไปบนดอกบัวหิมะที่ขาวบริสุทธิ์
เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้าของทุ่งร้างบริเวณนี้ไปครึ่งแถบ บนท้องฟ้าเหนือศีรษะซังซัง อีกาสิบกว่าตัวบินวนอยู่ไม่ยอมจากไป เป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนในกองทัพร่วมต่างเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ นั่นคือหวาดกลัว เกลียดชัง และอยากทำลาย เป็นความรู้สึกด้านลบที่มารวมตัวกัน
ในรถลากสีโลหิต เยี่ยหงอวี๋มือเท้าคาง มองไปทางทิศเหนืออยู่เงียบๆ หว่างคิ้วปรากฏความเหนื่อยล้า นางไม่เหมือนทหารธรรมดาพวกนั้นที่ถูกรถม้าสีดำและบุตรีของหมิงหวังทำให้ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ความรู้สึกของนางซับซ้อนยิ่ง นางสงสัยมากว่า…หนิงเชวียอยู่ที่ไหน
ทันใดนั้นแววตาของนางพลันสว่างวาบ เส้นผมดำขลับที่เหมือนน้ำตกแผ่สยาย นางแหงนร่างไปด้านหลังอย่างไม่ลังเล ล้มตัวลงอย่างหนักหน่วงเหมือนต้นไม้ที่หักโค่นตามเส้นผมที่สยายไป
หนิงเชวียไม่ได้อยู่ข้างกายซังซัง และไม่ได้อยู่ในประทุนรถ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่มันแอบออกห่างมาจากรถม้า อาศัยเสียงร้องเพลงของชาวฮวงเป็นเครื่องกำบัง มาถึงแนวรบด้านหน้าสุดของชาวฮวง เข้ามาในกลุ่มชาวฮวงที่คุกเข่าอยู่ด้วยความเคารพศรัทธา
ตอนที่คนทั้งโลกถูกซังซังดึงดูดความสนใจ มันคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น มือขวาง้างสาย ธนูเหล็กพลันโค้งงอ เล็งไปทางกองทัพร่วมที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ทางทิศใต้ สายธนูดีดออกในฉับพลัน
ปฐมธนูสิบสามดอกที่รวบรวมสติปัญญาของสถานศึกษาและทรัพยากรของต้าถัง หากพูดถึงอานุภาพแล้วถึงขั้นสามารถเทียบเคียงได้กับของวิเศษในตำนานโบราณ
ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของปฐมธนู ไม่ว่ายิงไปไกลแค่ไหนอานุภาพก็ไม่ลดลง ดังนั้นในการต่อสู้ ยิ่งศัตรูอยู่ไกลจึงยิ่งเป็นผลดีต่อหนิงเชวีย
เพราะศัตรูพวกนั้นยากที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวของมันแล้วเตรียมตัวรับมือ
เพราะคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ ปฐมธนูสิบสามดอกจึงเป็นอาวุธที่เหมาะที่สุดสำหรับซุ่มโจมตีในสนามรบ เรียกได้ว่ายิงถึงที่ใดก็พิชิตชัยที่นั่นข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือหนิงเชวียสามารถมองเห็นเป้าหมายหรือไม่ สามารถเล็งยิงถูกเป้าหมายหรือไม่
ตอนนี้กองทัพของทั้งสองฝ่ายห่างกันหลายลี้ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ธนูธรรมดาหรือกระบี่บินล้วนไปไม่ถึง แต่หนิงเชวียสามารถมองเห็นรายละเอียดทั้งหมดของแนวรบที่เรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน จึงสามารถเล็งยิงใครก็ได้ที่ตนอยากยิง
ฟุบๆๆๆๆ!
หนิงเชวียคุกเข่าข้างเดียว ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มชาวฮวง เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ยิงธนูห้าดอกออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
มันรู้ว่าโอกาสของตนในวันนี้มีไม่มาก จึงต้องฉกฉวยและใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งหมายความว่ามันต้องจัดการเป้าหมายให้ได้มากพอในการโจมตีครั้งแรก
ธนูดอกแรกยิงอย่างกะทันหันที่สุดและยากที่สุดที่จะป้องกัน โอกาสสำเร็จจึงมีมากที่สุด เป้าหมายที่มันเลือกแน่นอนว่าคือคนผู้นั้นที่มีความสำคัญที่สุด คนผู้นั้นที่เป็นไปได้มากที่สุดว่าจะทำให้สถานการณ์ในการรบเปลี่ยนแปลง
เป้าหมายนี้เลือกได้ดีมาก เช่นเดียวกับถังที่ตัดสินใจจะเผาผลาญพลังชีวิตช่วงสุดท้ายเพื่อสังหารคนผู้นั้น หนิงเชวียก็ไม่ลังเลเช่นกันที่จะส่งธนูดอกแรกให้…เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ!
ทุกอย่างเป็นดั่งที่หนิงเชวียคาดไว้ ระหว่างสองทัพห่างไกลกันมาก ต่างจากการต่อสู้ในวัดลั่นเคอและเมืองเฉาหยาง จึงไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าถึงความเคลื่อนไหวของมัน อย่างน้อยตอนที่เสียงสายธนูครั้งแรกดังขึ้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าลูกธนูดีดตัวออกจากสายแล้ว ปฐมธนูที่ไม่ถูกจำกัดด้วยระยะทางและเวลาตามตรรกะแล้วไม่มีใครสามารถหลบได้
แม้แต่เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ
ควันสีขาวพลันปรากฏขึ้น ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่างลูกธนูสีดำก็หายไปแล้ว ครู่ต่อมาก็ปรากฏขึ้นที่รถลากคันใหญ่ทางทิศใต้ ปรากฏขึ้นหลังผ้าม่าน ยิงถูกศีรษะของเงาร่างสูงใหญ่!
ผ้าม่านปิดบังแสงสว่างไว้
ลูกธนูยิงโดนส่วนศีรษะของเงาร่างสายนั้นซึ่งคล้ายกับยิงโดนเงาจริงๆ แล้วทะลุผ่านไปอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นลูกธนูก็ปรากฏรูปร่างดั้งเดิม ทะลุผ่านผ้าม่านแล้วหายไปทางขอบฟ้าทิศใต้
เงาร่างสูงใหญ่เอนมาข้างหน้าเล็กน้อย มองไปทางทิศเหนือ ดูเหมือนว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รู้สึกสนใจ อยากดูสักหน่อยว่าคนที่ยิงธนูมาหน้าตาเป็นอย่างไร