• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 2

    ที่ลานจอดรถของสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิสมีรถบัสจอดเรียงกันอยู่เหมือนเช่นปกติ หนึ่งในนั้นมีรถบัสที่แขกของเรเชลนั่งมารวมอยู่ด้วย รถบัสสำหรับท่องเที่ยวไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีการตกแต่งประดับประดา ดูเผินๆ เหมือนรถบัสที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวทั่วไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจมีบางคนรู้สึกไม่พอใจ ผู้หญิงผมยาวหยิกสีแดงคนนี้คือหนึ่งในนั้น เธอถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า

    “ตอนที่แกรนด์เชฟเชิญเชฟมายังให้นั่งเครื่องบินเลย”

    “เดโบร่าห์ ก็นั่นมันแกรนด์เชฟ ได้ยินว่ารายการที่เรากำลังจะไปถ่ายทำตอนนี้เป็นเหมือนพวกสารคดีการใช้ชีวิต อีกอย่างตอนนั้นคนที่ได้นั่งเครื่องบินก็คือเชฟเรเชลกับเชฟเซอร์เกย์ ระดับเขาสองคนก็ควรต้องได้รับการต้อนรับอย่างดีอยู่แล้ว”

    คนที่ตอบก็คือเดฟ หัวหน้าเชฟของโรสไอส์แลนด์และร้านอาหารสามดาวที่มินจุนเคยไปเป็นครั้งแรก พอได้ยินเดฟตอบกลับมาแบบนั้น เดโบร่าห์ก็เอาหน้าผากพิงกับกระจกอย่างหมดแรง

    “พวกเราอาจจะยังเทียบคนแก่อารมณ์ร้อนแบบอาจารย์เรเชลหรือเซอร์เกย์ไม่ได้ แต่ถึงยังไงคนที่อยู่ตรงนี้รวมกันแล้วก็เป็นร้อยดาวเลยนะ”

    “อืม พวกเราสามสิบหกคนถ้าจะให้ได้ถึงร้อยดาวก็คงต้องได้สามดาวกันเกือบทุกคน เธอเองก็ได้แค่ดาวเดียวเองนี่”

    “พูดแบบนี้ฉันเจ็บนะ”

    เดโบร่าห์ทำหน้าบึ้ง เดฟจึงมองไปรอบๆ รถบัสสำหรับสี่สิบที่นั่งซึ่งตอนนี้มีคนนั่งอยู่เกือบสามสิบคน เดฟยกมือขึ้นลูบคางพลางบ่นพึมพำ

    “มาสายกันนะเนี่ย”

    “ก็บินมาจากหลายที่ทั่วโลกนี่นา ไม่ใช่แค่ในอเมริกาอย่างเดียว จะให้ทุกคนมาถึงพร้อมกันสิแปลก”

    “นานแค่ไหนแล้วเนี่ยที่ไม่ได้เจอกันครบๆ แบบนี้”

    “น่าจะเกินสิบปีแล้วนะ ถ้าอยู่ในอเมริกาก็ว่าไปอย่าง นี่เล่นไปกันคนละทิศละทางทั่วโลกเลย อาจารย์เรเชลเป็นศูนย์กลางของพวกเราจริงๆ เลยนะ”

    “โรสไอส์แลนด์…แค่คิดว่าชื่อนี้จะกลับมามีพลังอีกครั้งก็ตื่นเต้นแล้ว”

    “แค่อาจารย์กลับมาทำอาหารอีกครั้งมันก็ดีมากแล้ว”

    เดโบร่าห์หวนคิดถึงความหลังแล้วยิ้มกว้าง ตอนนั้นเองก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา

    “ว่าแต่พวกเธอได้ยินข่าวลือรึเปล่า”

    คนที่พูดคือผู้ชายผิวขาว หัวโล้น รูปร่างบึกบึน เดฟจึงเหลือบมองไปข้างหลังแล้วพูดว่า

    “ข่าวลืออะไร”

    “ได้ยินว่าอาจารย์จะให้คนที่ชื่อโชมินจุนมาเป็นผู้สืบทอด”

    คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบ มันเป็นคำพูดที่อ่อนไหวเกินกว่าจะพูดออกมาง่ายๆ เดฟกอดอกแล้วร้องคราง

    “ฟิลลิป มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอามาพูดตามใจปากได้นะ”

    “ทำไมล่ะ เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ แล้วก็เป็นทหารของโรสไอส์แลนด์ด้วย ถ้าจะมีแม่ทัพมาใหม่ อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะมีสิทธิ์ได้ออกเสียงเกี่ยวกับเรื่องนั้นสิ”

    “ฉันเข้าใจ แต่อาจารย์เรเชลยังไม่ได้บอกอะไรพวกเราเลย เดากันไปเองอาจทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดได้”

    “ฉันไม่ได้คิดจะทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิด แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์คาดหวังในตัวเด็กหนุ่มคนนั้นจริงๆ น่ะเหรอ เดฟ นายเคยเจอเด็กคนนั้นแล้วนี่ เป็นไงบ้างล่ะ”

    ไม่ใช่แค่เดโบร่าห์เท่านั้น คำถามของฟิลลิปทำให้เชฟทุกคนพากันเงี่ยหูฟัง เดฟขมวดคิ้วราวกับลำบากใจ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงงึมงำราวกำลังครุ่นคิด

    “ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก รู้แค่ว่าเขากินอาหารแล้วสามารถวิเคราะห์สูตรอาหารของฉันได้ แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอนก็คือเขามีประสาทรับรสที่แม่นยำมาก ถ้าพวกนายยังจำอาจารย์แดเนียลได้ก็คงจะรู้กันดีว่าการมีประสาทรับรสที่โดดเด่นมันหมายความว่าอะไร”

    “มีประสาทรับรสที่แม่นยำจริงน่ะ?ไม่ได้พูดเกินจริงหรอกเหรอ”

    “ถ้าไม่จริงแล้วอาจารย์จะรับคนแบบนั้นเข้าไปทำงานด้วยได้ยังไง”

    “ก็นั่นสินะ”

    เดโบร่าห์พยักหน้า ถึงแม้จะเป็นแค่การคาดเดา แต่คำนำหน้าชื่อของมินจุนก็ดูจะหรูหราไม่เบา ทั้งประสาทรับรสที่แม่นยำ ทั้งผู้สืบทอดกิจการในอนาคตของเรเชล มันเป็นคำที่มีความหมายสำหรับเชฟในโรสไอส์แลนด์มาก ฟิลลิปกอดอก ความรู้สึกสับสนปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน

    “ไม่รู้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เราควรตื่นตัวหรือควรดีใจกันแน่ ปกติถ้าได้ยินว่ามีคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำเราก็คงจะตื่นเต้นอยากให้เขาได้กินอาหารที่เราทำ แต่พอรู้ว่าจะมาเป็นคู่แข่งมันก็…”

    “คู่แข่งเหรอ ไม่ว่ายังไงเขาก็เพิ่งเริ่มเป็นเดมี่เชฟเอง ไม่น่าจะต้องใส่ใจขนาดนั้นนะ”

    “มีคนบางประเภทที่เรียนรู้อะไรได้เร็วมาก มินจุนเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ เฮ้อ!แค่รับมือกับพวกนายฉันก็ปวดหัวจะแย่…”

    ถึงแม้จะไม่เคยพูดกันอย่างเปิดอก แต่หัวหน้าเชฟของโรสไอส์แลนด์ทุกคนก็ฝันที่จะได้ครองตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการของเรเชล โรสทั้งนั้น สำหรับพวกเขาที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับโรสไอส์แลนด์แล้ว ชื่อเสียงของการเป็นตัวแทนโรสไอส์แลนด์มีความหมายต่อพวกเขามากกว่าความโลภอยากเป็นเจ้าของร้าน แต่ถ้าร้านสาขาใหญ่จะกลับมาเปิดอีกครั้งแบบนี้ก็เป็นไปได้สูงที่หัวหน้าเชฟของสาขาใหญ่จะมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของร้าน ตอนนี้เรเชลเป็นหัวหน้าเชฟเองจึงไม่มีใครแสดงความไม่พอใจออกไป แต่ถ้ามินจุนหรือคนอื่นได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเชฟโดยที่ความสามารถไม่ได้เก่งสุดยอดล่ะก็ ถึงตอนนั้นมันอาจจะเป็นปัญหาขึ้นมา

    หัวหน้าเชฟของสาขาย่อยทั้งสามสิบหกคนมาเพื่อแสดงความยินดีกับการกลับมาของร้านสาขาใหญ่ แต่ก็เป็นเพราะความสงสัยเกี่ยวกับผู้สืบทอดกิจการด้วยเหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจึงมารวมตัวกันแล้วเดินทางมายังโรสไอส์แลนด์ สีหน้าของพวกเขาตอนที่เข้ามาในร้านดูจริงจัง เดฟมองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาที่ย้อนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ครั้งหนึ่งนี่เป็นที่ที่เขาเคยทำงาน ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ร้างไม่มีคนอยู่ไม่รู้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจแค่ไหน

    “พวกเขาคือใครเหรอ”

    “หัวหน้าเชฟของโรสไอส์แลนด์…”

    ทีมงานไม่มีท่าทีแปลกใจสักเท่าไหร่ แต่พวกพนักงานเสิร์ฟและเชฟของที่ร้านดูตกใจกับทั้งสามสิบหกคนที่กรูเข้ามา เรเชลยิ้มและเดินไปตรงหน้าพวกเชฟ

    “ไม่เจอกันนานเลยนะทุกคน ไม่สิ ต้องบอกว่าส่วนใหญ่มากกว่า เพราะมีบางคนที่ได้เจอกันบ้างในช่วงสิบปีที่ผ่านมา”

    “ไม่ใช่พวกเราไม่อยากเจอนะคะ แต่อาจารย์ไม่ยอมมาเจอต่างหาก มัวแต่เก็บตัวอยู่เหมือนเจ้าหญิงนิทรา”

    เดโบร่าห์เปรยแบบงอนๆ เรเชลจึงหรี่ตามอง

    “ฉันค่อนข้างเก็บตัวจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูจากการพูดจาแล้วที่ผ่านมาเธอคงไม่ใช่เจ้าหญิง แต่กลายเป็นราชินีไปแล้วล่ะมั้ง”

    “เห็นในรายการทีวีอาจารย์ดูอ่อนโยนมาก ฉันก็เลยคิดว่าอาจารย์คงจะแก่ลงไปเยอะ แต่ดูตอนนี้แล้วก็ไม่ได้หมดสภาพขนาดนั้นนะคะเนี่ย”

    “ได้ยินว่าเธอยังได้แค่หนึ่งดาวใช่มั้ย ดูจากความเคารพที่มีต่ออาจารย์แล้วก็พอจะเข้าใจ”

    “โอ๊ย นักชิมที่มาตอนนั้นเอาแต่ให้คะแนนตามความชอบของตัวเองนี่คะ พวกที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพนี่แหละปัญหา”

    “จะบอกว่าหลายปีที่ผ่านมาได้เจอแต่นักชิมอาหารที่มีความชอบไม่ตรงกันมาตลอดงั้นเหรอ พอเถอะ จะแก้ตัวอะไรก็ต้องมีขอบเขตบ้างนะ เดโบร่าห์”

    “อาจารย์จะทำกับลูกศิษย์ที่น่ารักที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแบบนี้จริงๆ เหรอคะ”

    “แล้วเธอล่ะ ทำกับอาจารย์ที่เคารพที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแบบนี้เหรอ”

    เดโบร่าห์จ้องเรเชลด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่ไม่นานก็เดินเข้าไปกอดเรเชลแน่น แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “คิดถึงอาจารย์มากเลยค่ะ น่าจะมาเจอกันบ้าง”

    “ขอโทษนะ”

    พอเดโบร่าห์ทำแบบนั้น หัวหน้าเชฟคนอื่นก็ขยับเข้ามาใกล้ เรเชลจึงยกมือขึ้นห้าม

    “พอเลย คงไม่ได้จะให้ฉันกอดทีละคนจนครบสามสิบหกคนหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงไข้ขึ้นแน่ๆ”

    “ยังเหมือนเดิมเลยนะครับ”

    “คนแก่ก็ต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีสิ ทำไงได้”

    เรเชลยิ้มแล้วตอบเดฟ ระหว่างนั้นพวกเดมี่เชฟก็พากันออกมาที่ห้องอาหาร มินจุนที่เดินมาพร้อมคนอื่นๆ ถึงกับชะงักเพราะสายตาของหัวหน้าเชฟพากันมองมาที่เขาคนเดียว

    “สวัสดีครับ”

    “ไม่เจอกันนานเลยนะ มินจุน”

    “อ้อ เดฟ ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับ”

    มินจุนจับมือเดฟแล้วมองเรเชลด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เรเชลจึงเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

    “นี่คือหัวหน้าเชฟของโรสไอส์แลนด์ที่อยู่ในแต่ละประเทศทั่วโลก แม้จะยุ่งกันมาก แต่ก็ยังบินมาจากที่ต่างๆ ตามคำขอร้องของฉัน ช่างเป็นเด็กดีกันจริงๆ”

    “ก็อาจารย์บอกว่าถ้าไม่มาจะไม่จ่ายโบนัสตลอดหนึ่งปีนี่ครับ”

    “โธ่เจฟ แยกไม่ออกเหรอว่าฉันพูดเล่น ยังตามคนไม่ค่อยทันเหมือนเดิมเลยนะ”

    ชายผิวสีที่ถูกเรียกว่าเจฟทำหน้างุนงง เขาไม่ได้ทึ่ม แต่ก่อนหน้านี้เรเชลเคยหักโบนัสเชฟที่ไม่ให้ความร่วมมือมาแล้ว

    “เหตุผลที่ฉันขอให้พวกเธอมารวมตัวกันมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่โรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่ก็จะเปิดแล้ว ฉันก็เลยอยากจะแชร์ช่วงเวลานี้กับพวกเธอ และอย่างที่สอง ฉันอยากให้พวกเธอสมมติว่าตัวเองเป็นลูกค้าแล้วประเมินให้หน่อย พวกเธอรู้จักแดเนียลเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นก็น่าจะจำรสชาตินั้นได้ดี”

    “ตั้งใจจะเลียนแบบรสชาติในตอนนั้นเหรอครับ”

    น้ำเสียงที่ถามออกไปสั่นเครือเล็กน้อย โรสไอส์แลนด์ทุกสาขาพยายามเลียนแบบรสชาติให้เหมือนสาขาใหญ่ อาจจะสามารถทำให้เหมือนได้บ้างแค่อย่างหรือสองอย่าง แต่ก็ไม่มีสาขาไหนสามารถเลียนแบบรสชาติอาหารทุกจานให้เหมือนกับในสมัยนั้นได้ เรียกว่าไม่มีใครทำได้เลยดีกว่า แค่คิดว่าจะได้ลิ้มรสชาติแบบนั้นอีกครั้งก็ทำให้ตัวสั่น ไม่รู้ว่าตัวสั่นในฐานะเชฟหรือในฐานะคนที่ชอบอาหารกันแน่

    “ไม่ได้ทำเลียนแบบ เพราะแดเนียลเองก็คงไม่ต้องการให้ฉันเอาแต่ยึดติดอยู่ข้างหลุมศพของเขา ฉันจะเอาคืนคนแบบนั้นให้ได้ ร้านสาขาใหญ่จะต้องก้าวหน้า ต้องพัฒนามากกว่าสมัยนั้น”

    “ช่างเป็นการประกาศด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดมาก”

    ไม่มีใครคิดว่าคำพูดของเรเชลเป็นเรื่องโกหก แม้เรเชลจะไม่ได้รอบคอบทุกครั้ง แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรชุ่ยๆ เกี่ยวกับอาหาร

    “จะทำได้เหรอคะ พักไปเป็นสิบปีแล้ว”

    “ถึงจะแก่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเสือจะต้องกลายเป็นแมวนะ พักไปนานก็ใช่ว่ากรงเล็บจะทื่อไปด้วย”

    “ตายล่ะ งั้นฉันให้กรรไกรตัดเล็บเป็นของขวัญดีมั้ยคะ”

    “มุกฝืดไปหน่อยนะ เพราะแบบนี้ถึงยังได้แค่หนึ่งดาว”

    “เฮ้อ จะพูดถึงแต่เรื่องหนึ่งดาวของฉันหรือไงคะ”

    เดโบร่าห์ทำหน้ามุ่ย เรเชลจึงหัวเราะแล้วหันไปมองทุกคน

    “ขอให้ช่วยประเมินกันอย่างละเอียดและจริงจังนะ ทั้งตัวฉันและเด็กของฉันด้วย จะด่าออกมาก็ได้ แค่อย่าลงไม้ลงมือก็พอ คงไม่มีใครตรงนี้เป็นหัวหน้าเชฟที่ทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวตัวเองหรอกใช่มั้ย”

    “ผมไม่ทำร้ายร่างกายคนอื่นให้ตัวเองติดคุกหรอกครับ”

    “ดี งั้นก็ฝากด้วยนะ ช่วยทรมานทุกคนที่นี่ให้ขยาดไปเลย”

    ที่มุมปากของเดฟมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา

    “นั่นมันเรื่องถนัดของพวกเราอยู่แล้วครับ”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook