• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 2

    “กงฟี*ใช้ได้แล้ว ก็แหงอยู่แล้วล่ะ เพราะเครื่องมันทำให้หมดเลยอัตโนมัติ ส้มยูซุยังซิมเมอร์ได้ไม่ดี คุณก็รู้ใช่มั้ยจาเวียร์ว่ามันมีรสสัมผัสที่เหมือนกับเม็ดทราย”

    “อืม ยังไม่ได้ชิมเลยไม่แน่ใจครับ”

    “ไม่ได้ชิมอาหารที่ตัวเองทำ แต่เอามาเสิร์ฟงั้นเหรอ ถ้าอาจารย์เรเชลเห็นคงโดนด่าไปแล้ว เฮ้อ!หรือเทียบกับสมัยเราแล้วอาจารย์อ่อนโยนลงเยอะก็เลยไม่ตื่นตัวกันแบบนี้”

    “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น”

    จาเวียร์พูดจาติดขัด แม้จะฝืนยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ากระอักกระอ่วน หลังคำขอร้องของเรเชลพวกหัวหน้าเชฟก็ทำหน้าที่คอยหาช่องเพื่อติเตียนเหมือนกับรอเวลานี้มานาน ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องทัศนคติที่มีต่ออาหาร รวมไปถึงการแต่งกาย และหัวลูกศรก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่จาเวียร์เท่านั้น เพราะข้างๆ เจเน็ตก็มีเดโบร่าห์ยืนกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่

    “รู้มั้ยว่าตอนที่เห็นคุณฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่เป็นเชฟผู้หญิงเหมือนกัน”

    “ฟังดูเหมือนตอนนี้ไม่ดีใจแล้วเลยนะคะ”

    “ก็ไม่เชิง แต่รู้สึกเสียดาย ดูอย่างเซบิเช่ปลากะพงนี่สิ ความหนาของเนื้อไม่เท่ากันอย่างสมบูรณ์ จริงอยู่ที่มันไม่ได้ต่างอะไรมากมาย แต่แค่นี้มันไม่พอหรอกนะ คิดว่าที่ที่คุณทำงานอยู่คือที่ไหนกัน”

    “ก็โรสไอส์แลนด์ไงคะ”

    “ชื่อนั้นมีความหมายยังไงรู้มั้ย”

    เป็นน้ำเสียงที่กระด้างแต่ก็สุภาพจนทำให้คนฟังรู้สึกสับสน ทว่าเจเน็ตไม่ได้สับสน โชคดีที่เจเน็ตเองก็มีนิสัยคล้ายกับเดโบร่าห์ เธอจึงไม่ได้เข้าใจผิด คำพูดของเดโบร่าห์มีความเป็นห่วงและกังวลใจจริงๆ

    “ฉันรู้ค่ะว่าเป็นคนของร้านอาหารที่ดีที่สุดของประเทศนี้”

    “ดีที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่ประเทศนี้ และยิ่งสาขาใหญ่เป็นความภาคภูมิใจของเชฟอย่างพวกเราทุกคน เราภูมิใจที่ได้แตกแขนงออกมาจากรากฐานที่ดีที่สุดในโลก สิ่งนั้นคือสิ่งที่คุณกำลังแบกรับ ช่วยอย่าให้เกิดเรื่องที่ทำให้พวกเราต้องอับอาย เพราะมันจะทำให้คุณเองเชิดหน้าได้อย่างผ่าเผยเหมือนกัน”

    เจเน็ตเม้มปากพร้อมพยักหน้ารับ เดโบร่าห์จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างไร้ซึ่งการปลอบใจ

    “คิดว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่จะทำให้เชฟผู้หญิงอยู่รอดได้ในครัวคะ”

    เมื่อได้ยินคำถามของเดโบร่าห์ สายตาของเจเน็ตจึงเปลี่ยนเป็นสายตาดุดัน

    “ความอึดค่ะ”

    “ก็ถูก แต่ถ้าอึดแล้ววันหนึ่งหมดแรงขึ้นมาล่ะ ความแข็งแรงของร่างกายน่ะยังไงเราก็สู้พวกผู้ชายไม่ได้ ถ้าจะเอาชนะด้วยการใช้ความละเอียดอ่อนแบบผู้หญิง พวกเชฟผู้ชายก็มีหลายคนที่ละเอียดอ่อนราวกับเป็นโรคคลั่งความพิถีพิถัน สิ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือการไม่อะลุ้มอล่วย ไม่พอใจง่ายๆ ว่าแค่นี้ก็พอ แค่นี้ก็สมบูรณ์แบบ ตอนนี้คุณพอใจกับคาร์ปาชโช่นี่รึเปล่าล่ะ”

    เจเน็ตมองคาร์ปาชโช่ที่ตัวเองทำก่อนจะเททั้งหมดลงถังขยะ

    “ฉันจะทำใหม่ค่ะ”

    “เอาสิ”

    แอนเดอร์สันมองเจเน็ตอย่างเอือมระอา แล้วตอนนั้นเองก็มีน้ำเสียงเหมือนเหน็บแนมดังขึ้น

    “แอนเดอร์สัน คุณดูว่างมากเลยนะ มีเวลามานั่งดูอาหารของคนอื่นด้วยเหรอ”

    “ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่ว่างนี่ครับ”

    แอนเดอร์สันตอบห้วนๆ พลางใส่ไส้ที่ทำจากเนื้อแกะและผักเข้าไปในราวิโอลี เชฟที่มองแอนเดอร์สันอยู่จึงพูดขึ้นมาว่า

    “ได้ยินว่าเป็นลูกชายของคู่สามีภรรยาลุสโซ เรียนรู้การทำอาหารจากการช่วยงานในครัวตั้งแต่เด็ก?”

    “ขอโทษนะครับ แต่ช่วยไม่พูดถึงเรื่องนั้นจะดีกว่า ผมเป็นลูกของพ่อแม่ก็จริง แต่ผมก็คือตัวผมเอง ไม่ค่อยชอบให้ใครพูดเหมือนผมเป็นส่วนประกอบของพ่อแม่แบบนั้น”

    “ก็ธรรมดาแหละ ลูกมักจะอยากแยกตัวออกมาจากพ่อแม่เสมอ แอนเดอร์สัน ฝีมือการห่อราวิโอลีของคุณดีนะ คงจะได้เรียนรู้มาจากพ่อแม่ล่ะสิ”

    แอนเดอร์สันไม่ตอบ มันเป็นการประท้วงว่าจะไม่พูดด้วยถ้ายังพูดถึงพ่อแม่อีก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ถอดใจ เพราะที่เขาพูดเรื่องนั้นไม่ใช่แค่ต้องการแกล้งแอนเดอร์สันเท่านั้น

    “แต่ถึงแม้จะเรียนรู้การทำอาหารมาจากพ่อแม่ก็คงไม่ได้เรียนเรื่องการจัดการคนมาก่อน แอนเดอร์สัน คุณมั่นใจรสชาติของไส้ที่ผู้ช่วยคุณเป็นคนทำงั้นเหรอ”

    “อะไรนะครับ”

    “ผมถามคุณว่าไส้ที่ผู้ช่วยเป็นคนทำน่ะ คุณคิดว่าสมบูรณ์แบบรึเปล่า”

    “ก็ชิมตอนนี้ไม่ได้นี่ครับ นึ่งแล้วชิมก็คงจะรู้”

    “แล้วถ้ามันไม่โอเค คุณจะทิ้งราวิโอลีมากมายพวกนี้ทั้งหมดงั้นเหรอ”

    แอนเดอร์สันทำหน้าบึ้ง มือที่กำลังยัดไส้อยู่หยุดลง จากนั้นก็หันไปมองอันโตนีโอที่เป็นผู้ช่วย แต่อันโตนีโอก็รีบส่ายหน้า

    “ผมทำตามสูตรครับ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน”

    “ผมก็ไม่ได้บอกว่าอันโตนีโอทำผิด เพราะทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแอนเดอร์สัน การเชื่อในเพื่อนร่วมงานก็เป็นเรื่องดี อันโตนีโอเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณก็จริง แต่เขาเป็นผู้ช่วยที่คุณต้องสอนและคอยแนะนำ เชื่อใจเขาได้ถ้าคุณคอยดูอย่างใกล้ชิดและคอยกำกับ แต่จากที่ผมเห็นนะ แอนเดอร์สัน คุณไม่ได้ตรวจดูเลยว่าอันโตนีโอทำได้ดีและถูกต้องรึเปล่า”

    “ถ้าต้องคอยดูทุกอย่าง ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะลดลง”

    “ผมเข้าใจ แต่อย่างน้อยพวกไส้อาหารก็ควรจะตรวจสอบเป็นระยะ การที่ทำแบบนั้นได้โดยไม่ทำให้เสียประสิทธิภาพในการทำงานคือความสามารถของเดมี่เชฟ”

    ไส้อาจไม่มีข้อผิดพลาดอย่างที่อันโตนีโอบอก แต่สิ่งที่เขาต้องการจะบอกก็คือไม่ควรไว้ใจเพื่อนร่วมงาน แต่ควรมั่นใจโดยการเช็กดูด้วยตัวเอง และแอนเดอร์สันก็เข้าใจสิ่งที่เขาบอก

    ในขณะที่เดมี่เชฟทุกคนกำลังถูกหัวหน้าเชฟแต่ละคนตำหนิ มินจุนเองก็ไม่ได้เป็นอิสระจากสายตาของพวกเขาเช่นกัน ไม่สิ พูดให้ชัดคงต้องบอกว่าเขาถูกจับตามองมากที่สุดต่างหาก เพราะความจริงก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเรเชลให้ความสนใจกับมินจุนเป็นพิเศษ จึงมีบางคนมองมินจุนด้วยความระแวดระวัง บางคนมองด้วยความคาดหวัง ส่วนบางคนมองอย่างเข้มงวด ตอนแรกสายตาเหล่านั้นทำให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่นานมินจุนก็สลัดความตื่นเต้นออกไปได้ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่เขาต้องทำอาหารต่อหน้าผู้คน เขาทำอาหารโมเลกูลาร์ออกมามากมาย ใช้ครีมผลไม้ทำเป็นเอสพูม่า*โดยผสมวัตถุดิบขึ้นเองแล้วทำเป็นไอศกรีมหรือเชอร์เบท นอกจากนี้ยังทำพวกเยลลี่อีกด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำเองทุกอย่าง มายาที่เป็นผู้ช่วยคอยช่วยเขาผสมและเตรียมวัตถุดิบต่างๆ

    “มินจุนน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งมาเป็นเดมี่เชฟได้แค่ไม่กี่เดือนเองไม่ใช่เหรอ แถมยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนด้วย”

    “ได้ยินว่างั้นนะ”

    “แล้วทำไมถึงใช้ผู้ช่วยได้ดีแบบนั้นนะ”

    พวกหัวหน้าเชฟกระซิบกระซาบกัน เดมี่เชฟก็เป็นเชฟเหมือนกัน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนที่กำลังเรียนรู้ซะมากกว่า ทั้งเทคนิคการทำอาหารและการสั่งงานผู้ช่วย อย่างแรกเลยพวกเขาหาเรื่องมาตำหนิมินจุนเกี่ยวกับเทคนิคในการทำอาหารได้ยาก เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่มินจุนทำคืออาหารโมเลกูลาร์ ถ้าจะให้หาช่องโหว่ในเรื่องพื้นฐานเช่นขั้นตอนการต้มวัตถุดิบแล้วนำมาทำซอสแบบนั้นก็คงพอหาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่จากมาตรฐานของการเป็นเดมี่เชฟ แต่ใช้มาตรฐานของระดับหัวหน้าเชฟอย่างเข้มงวดเป็นตัววัด ความสามารถในการเคี่ยวซอสของมินจุนถือว่าอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่ามาตรฐานของเดมี่เชฟไปแล้ว อาจถึงขั้นเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำซอสได้เลยด้วยซ้ำ

    “ไม่ได้รับหน้าที่ดูแลส่วนอาหารโมเลกูลาร์อย่างไร้ประโยชน์เลยนะเนี่ย”

    “เขาดูชำนาญเฉพาะทางจริงๆ”

    “เรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้นะ ถ้ามีพรสวรรค์ในระดับหนึ่งก็สามารถทำงานนั้นได้ แต่เขาสามารถใช้งานผู้ช่วยได้ดีขนาดนั้นได้ยังไง ฉันเคยคิดว่ามันต้องใช้ประสบการณ์เท่านั้นเสียอีก”

    ไม่แปลกที่พวกเขาจะพูดแบบนั้น ดูเหมือนมินจุนจะวิเคราะห์ได้ทั้งหมดว่าทักษะการทำอาหารของมายาเป็นยังไง ดูได้ง่ายๆ ก็คือถ้ามายาเหมือนทำอะไรพลาดไปหรือกำลังจะได้ผลลัพธ์บางอย่างที่แตกต่างไปจากที่คาดไว้ มินจุนก็จะพูดเสียงดังขึ้นเพื่อบอกมายา บางครั้งผู้ช่วยเชฟก็ทำให้เดมี่เชฟวุ่นวายมากกว่าเดิม ไม่สิ ถ้าเป็นเดมี่เชฟมือใหม่ การมีผู้ช่วยจะทำให้วุ่นวายกว่าเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง การวาดภาพรวมในหัวจึงกลายเป็นเรื่องยาก ถ้านับรวมเรื่องที่ต้องคอยเช็กว่าอีกฝ่ายทำผิดพลาดหรือเปล่าด้วยแล้ว เดมี่เชฟหลายคนมักรู้สึกเหมือนมีการบ้านเพิ่มขึ้นมากกว่ามีคนคอยช่วย

    “ถ้าในครัวฉันมีเดมี่เชฟแบบนั้นบ้างก็คงจะดี…ไม่สิ ระดับนั้นให้เป็นซูเชฟก็น่าจะทำได้ดีด้วยซ้ำ เพราะเขายังไม่พลาดเลยสักครั้ง”

    ไม่มีทางผิดพลาดได้หรอกเพราะมินจุนมองเห็นคะแนนทำอาหารโดยประเมิน ถ้ามายาผสมซอสผิดไปแค่นิดเดียวมินจุนก็สามารถเดาได้ว่าถ้าใช้ซอสนั่นทำอาหารจะได้ผลออกมาเป็นแบบไหน นอกจากนั้นในเมื่อเขาสามารถเช็กความผิดพลาดได้เป็นระยะๆ เขาจึงรู้ว่าจะต้องคอยดูและตรวจสอบมายายังไง เปรียบง่ายๆ ว่าเขาแก้โจทย์ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เลยทำให้เขารู้วิธีคำนวณไปด้วย อาหารต่างๆ ที่ถูกทำขึ้นมาด้วยขั้นตอนแบบนั้นจึงมีรสชาติที่อร่อย สมบูรณ์แบบถึงขนาดไม่มีที่ติ มินจุนไม่ได้มีเทคนิคการทำอาหารที่โดดเด่นกว่าเดมี่เชฟคนอื่นเลย แอนเดอร์สันหรือเจเน็ตน่าจะมีทักษะและความละเอียดอ่อนมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป…ไม่สิ ทั้งคู่ดีกว่าเขาจริงๆ แต่พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขามีก็คือการกำกับ ไม่ใช่การทำอาหาร เดฟถึงกับร้องชมแล้วพูดว่า

    “จากที่เห็นจนถึงตอนนี้ เขามีพรสวรรค์ในการเป็นซูเชฟที่ดีที่สุดในโลกเลย แต่เวลาที่คนเยอะก็จะต้องใช้สมาธิและการควบคุมที่มากกว่าเดิม”

    “สไตล์แบบนั้นเหมือนอาจารย์เรเชลมากกว่าอาจารย์แดเนียลนะ อาจารย์แดเนียลถนัดเรื่องการคิดสูตรอาหารมากกว่าการกำกับสั่งการ ส่วนอาจารย์เรเชลเก่งเรื่องการจัดการคน”

    “ที่นายพูดก็ยังไม่ถูกนะ พวกเรายังไม่เคยเห็นเลยว่าเขามีความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณในเรื่องอาหารแบบไหน”

    เมื่อได้ยินสิ่งที่เดฟพูด อีกฝ่ายก็ร้อง “อ๋อ” แล้วเงียบไป เพราะมินจุนดูมีทักษะในการคุมงานผู้ช่วย เลยไม่คิดว่าเขาจะมีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นด้วย ถ้าโลกนี้มีใครที่มีครบทุกอย่างแบบนั้นมันก็คงไม่ยุติธรรม เดฟพูดเสียงเบาๆ ว่า

    “ถ้าหากเขามีสัญชาตญาณด้วยล่ะก็…”

    เดฟพูดไว้เพียงเท่านั้น ทุกคนก็พากันคิดประโยคต่อไปขึ้นในหัวโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งประโยคนั้นของแต่ละคนคงแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ต้องการจะสื่อยังคงมีความหมายคล้ายกัน ถ้ามินจุนมีสัญชาตญาณนั้นอยู่ล่ะก็…

    ไม่สิ ไม่ควรจะมาคิดเรื่องนั้นตั้งแต่ตอนนี้

    เดฟทำใจให้สงบลง ถึงแม้จะเห็นว่ามินจุนไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยสักอย่างในฐานะเดมี่เชฟ แต่การเอาเรื่องแค่นั้นมาตัดสินก็ดูจะรีบร้อนเกินไปหน่อยเหมือนกัน

    “มินจุน ผมได้ยินราฟาเอลบอกว่าตอนแรกคุณไม่อยากทำอาหารโมเลกูลาร์”

    “ไม่เชิงว่าไม่อยากหรอกครับ ก็แค่อยากเลี่ยงน่ะ”

    “มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

    “ผมไม่ได้ไม่ชอบอาหารโมเลกูลาร์ครับ มันสนุกและแปลกใหม่ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ แต่เป็นเพราะตอนนั้นผมคิดว่าผมยังมีพื้นฐานไม่แน่นพอที่จะมาทำอาหารโมเลกูลาร์น่ะครับ”

    “พอได้มาทำก็เลยคิดว่าไม่ได้ขาดพื้นฐานอะไร หรือคิดว่าพื้นฐานไม่ได้สำคัญอะไร”

    มินจุนไม่ได้หันไปมอง เขาเช็ดครีมที่ติดอยู่บนจานออกแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นและรอบคอบว่า

    “การทำอาหารโมเลกูลาร์ทำให้ฝีมือเราพัฒนาขึ้น พูดให้ชัดๆ ก็คือความรู้สึกที่มีต่ออาหารครับ เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็เกี่ยวข้องกันหมด”

    “ไม่นึกเสียดายเหรอ น่าจะมีวัตถุดิบที่ตัวเองชอบอยู่ เช่นอยากทำปลาหรือเนื้อสัตว์มากกว่าอะไรแบบนั้น”

    “สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือซอสครับ และที่ชอบเป็นพิเศษในบรรดาซอสก็คงจะเป็นการสกัดเอารสชาติที่เป็นธรรมชาติออกมาจากผลไม้”

    อย่างหลังเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งมั่นใจกว่าเดิมเมื่อไม่นานมานี้เอง เขารู้แล้วว่าเอกลักษณ์ในแบบของเขาที่เขาตามหาคืออะไร จะเรียกว่ามองหาอะไรที่เป็นธรรมชาติซะทีเดียวก็คงไม่ใช่ เขาอยากคงรสชาติดั้งเดิมของผลไม้เอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบซอสที่ทำจากเนื้อสัตว์แบบพวกเดมิกลาซซอส หรือซอสปรุงรสอย่างซีอิ๊ว โคชูจัง น้ำปลา อันที่จริงพวกผักหรือถั่วก็อร่อยเหมือนกัน แต่เวลาที่นำผลไม้ไปกินคู่กับวัตถุดิบอื่นมักจะมีรสหวานและความกลมกล่อมแปลกๆ มินจุนคิดว่ามันน่าสนุกและแปลกใหม่ที่สุด เดฟถามออกไปเหมือนหยั่งเชิง

    “เลือกทางของตัวเองเอาไว้แล้วสินะ มีหลายคนที่ได้เป็นซูเชฟแล้วแต่ก็ยังหาสไตล์ของตัวเองไม่เจอ แต่คุณไม่คิดว่าเลือกเร็วเกินไปหน่อยเหรอ”

    “ผมคิดว่าเลือกเร็วก็ไม่น่าเป็นปัญหานะครับ”

    “ยังไม่ได้ลองอาหารจนครบทุกอย่างเลยนี่นา ตัดสินใจตอนที่ได้เจออะไรมากกว่านี้จะไม่ชัดเจนกว่าเหรอ”

    “การที่ผมวิเคราะห์ความชอบของตัวเองได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่สนใจมองอย่างอื่น ผมมองทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใส่ความเป็นตัวตนของผมลงไปในนั้น ผมคิดว่าควรจะมีส่วนที่เราชำนาญสักอย่าง ต่อไปเราจะได้ใช้มันเป็นอาวุธได้”

    เดฟยิ้มมุมปากแทนคำตอบ ความจริงเดฟไม่คิดว่าการที่มินจุนมีปรัชญาในการทำอาหารเป็นของตัวเองในตอนนี้จะเป็นเรื่องไม่ดี เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าเขาใคร่ครวญดีพอเกี่ยวกับปรัชญาของตัวเองหรือแค่ชอบแล้วกระโจนเข้าใส่ แต่พูดคุยกันเท่านี้ก็คงไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเกี่ยวกับมินจุนต่อแล้ว เดฟเดินไปที่ห้องอาหารแล้วนั่งลง เป็นช่วงเวลาเดียวกับเดโบร่าห์ที่คุยกับเจเน็ตเสร็จแล้วเดินมาข้างเขา เดฟยิ้มกว้างแล้วถามว่า

    “เป็นไงบ้าง พวกเดมี่เชฟใหม่ของอาจารย์”

    “ก็ไม่เลว”

    “แค่นั้นจริงๆ เหรอ”

    “พูดตามตรงก็คือดี ถ้าได้ลองชิมอาหารคอร์สจริงๆ ก็คงจะรู้ละเอียดกว่านี้ แต่อย่างน้อยจากที่ได้เห็นทุกคนก็ถือว่าสมบูรณ์แบบมาก เรียกว่าเป็นหัวกะทิในบรรดาเดมี่เชฟเลยก็ว่าได้ พวกผู้ช่วยเชฟก็ด้วย หาอะไรมาติค่อนข้างยาก”

    เดโบร่าห์ยักไหล่ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะเดมี่เชฟของโรสไอส์แลนด์มักจะสุดยอดเสมอ ความมีชื่อเสียงทำให้เชฟฝีมือดีมารวมตัวกัน และผู้ที่ถูกเลือกก็จะได้มาอยู่ในครัวของโรสไอส์แลนด์ ทุกคนในนี้แม้กระทั่งตำแหน่งเล็กๆ ก็มีความสามารถ เพราะแบบนี้อาหารที่ถูกยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจึงใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุด ร้านสาขาย่อยยังขนาดนั้นแล้วสาขาใหญ่จะขนาดไหน

    “เมื่อกี้เห็นคุยกับเดมี่เชฟผู้หญิงคนนั้นเยอะเลยนี่”

    “ทำไงได้ล่ะ ฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เวลาเห็นผู้หญิงที่อยากจะอยู่รอดในครัวได้ทีไรก็รู้สึกปวดใจทุกที ฉันรู้ว่ามันเป็นยังไง แล้วก็ยากลำบากแค่ไหน”

    “ใช่ว่าผู้หญิงลำบากอย่างเดียวซะเมื่อไหร่กัน ผู้ชายเองก็ลำบาก”

    “ไม่ได้บอกว่าผู้ชายไม่ลำบากนี่ ไม่ว่าเงื่อนไขจะดีหรือไม่ดียังไงผู้หญิงก็ต่างจากผู้ชาย ดังนั้นการที่ได้เจอกับคนที่บอกได้ว่าต้องแก้เรื่องความต่างนั้นยังไงจึงนับเป็นเรื่องพิเศษ ถึงแม้ว่าอาจารย์เรเชลจะอยู่ที่นี่ด้วยก็ตาม อืม…ฉันอาจจะคิดอะไรไร้สาระไปเองก็ได้”

    “ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นเรื่องดี เมื่อก่อนเธอเคยต้องทุกข์ทรมานอยู่ในปัญหาพวกนั้น แต่ตอนนี้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถแนะนำคนอื่นได้แล้ว”

    เดฟยิ้มอย่างอ่อนโยน ตอนที่เดโบร่าห์ยักไหล่อีกครั้ง ด้านนอกพลันมีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเหมือนเสียงรถบรรทุก พอหันไปมองที่หน้าต่างก็เห็นรถบัสสีเหลืองของโรงเรียนอนุบาลจอดอยู่ เดโบร่าห์ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจนิดๆ

    “แถวนี้มีโรงเรียนอนุบาลด้วยเหรอ”

    “เห็นมีลงมาแค่คนเดียว ไม่น่าจะใช่โรงเรียนอนุบาลอยู่แถวนี้ บ้านเด็กคนนั้นน่าจะอยู่แถวนี้มากกว่า”

    “เดินมาทางนี้แล้ว”

    เอลล่า เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลใส่ชุดเดรสลายหยดน้ำกำลังเดินเข้ามา พอเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของคนสามสิบหกคน เอลล่าก็ตกใจและเริ่มสะอึก

    “ทะ…ที่นี่ก็ถูกแล้วนี่”

    เพราะตกใจกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเอลล่าจึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วถอยหลังไป เธอกวาดตามองจนทั่วอีกครั้ง ทั้งภายในและภายนอกอาคารไม่มีอะไรเปลี่ยนไป มีแค่คนที่ไม่เหมือนเดิม เอลล่ากัดริมฝีปาก กลัวแต่ไม่อยากร้องไห้ แต่ตาของเธอกลับแดงแบบช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเอง…

    “เอลล่า ทำอะไรตรงนั้น เข้ามาสิ”

    “คุณน้า!”

    สีหน้าเอลล่าสดใสขึ้นมาแล้ววิ่งไปกอดมินจุน พอเห็นมินจุนลูบหลังปลอบเอลล่าที่กำลังสูดน้ำมูก เดฟก็ถามว่า

    “เด็กคนนั้นใครน่ะ”

    “อ๋อ ลูกสาวของปาติซิเย่ของเราน่ะครับ เป็นเจ้าหญิงของสาขาใหญ่ เธอมาที่ร้านบ่อยๆ”

    มินจุนยิ้มแล้วหยิบทิชชูไปจ่อที่จมูกของเอลล่า

    “เอ้า สั่งน้ำมูกออกมาเลย”

    ฟืด!เอลล่าสั่งน้ำมูกสุดแรง แล้วมองมินจุนด้วยดวงตาที่ชุ่มน้ำตา

    “คนเยอะมาก หนูคิดว่าหลงทาง”

    “ถ้าหลงทางต้องทำยังไงนะ”

    “อืม…ต้องโทรหาแม่ค่ะ”

    “แล้วถ้าจำเบอร์ไม่ได้ล่ะ”

    “ต้องโทรไปที่เก้าหนึ่งหนึ่ง”

    “โห เอลล่าของเราฉลาดจริงๆ เลยนะเนี่ย”

    คำชมของมินจุนทำให้เอลล่ายิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกกลัวมาก่อน เดโบร่าห์ร้องชมแล้วปรบมือให้แบบไม่มีเสียง

    “ว้าว!อยากเรียนเทคนิคแบบนั้นบ้างเลย ถ้าหลานฉันเริ่มร้องไห้เมื่อไหร่ ฉันนะทำอะไรไม่ถูกเลย”

    “จัดการคนเก่งสินะ เหมือนตอนกำกับผู้ช่วยในครัว”

    “ขอบคุณครับที่ชม”

    มินจุนยิ้มและพยักหน้า เดโบร่าห์เหลือบมองไปที่ด้านหลังของมินจุน ตอนที่มินจุนออกมาจากในครัวหัวหน้าเชฟที่อยู่ในครัวประมาณหนึ่งในสามก็ตามเขาออกมาทันที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะให้ความสนใจเชฟรุ่นน้องคนนี้ที่เรเชลพยายามปลุกปั้น

    ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยคลายความสงสัยนั้นให้เอง

    พอคิดได้ดังนั้นเดฟก็พูดขึ้นมาว่า

    “มินจุน ผมได้ยินว่าสาขาใหญ่จะมีการเปลี่ยนเมนูทุกๆ สิบห้าวันแบบที่เมื่อก่อนเคยทำ”

    “ครับ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือเปลี่ยนวัตถุดิบมากกว่า เพราะวัตถุดิบแต่ละอย่างอยู่ในฤดูกาลที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าหัวหน้าเชฟอย่างพวกคุณก็คงจะรู้ดีกว่าผมอยู่แล้ว”

    “วัตถุดิบเปลี่ยน เวลาทำอาหารก็จะมีส่วนที่ต้องให้ความสนใจแตกต่างกันไป มั่นใจเหรอครับว่าจะชินกับการเปลี่ยนแปลงพวกนั้นได้ ไม่สิ ยังไงก็คงต้องตอบว่ามั่นใจเท่านั้น แล้วคิดว่าจะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นยังไงเหรอ…นี่ผมถามมากเกินไปรึเปล่า”

    “ไม่หรอกครับ ได้ยินว่าสาขาใหญ่เป็นศักดิ์ศรีของพวกเชฟ ในเมื่อส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีตกมาอยู่ในมือของผม ก็ไม่แปลกที่จะสงสัยกันแบบนั้น”

    อันที่จริงพวกเขาก็ไม่คิดว่าเรเชลจะปล่อยให้พวกเดมี่เชฟทำอะไรผิดพลาดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความเจริญหรือถดถอยของสาขาใหญ่เลยสักนิด นี่คือเรเชล ในบรรดาหัวหน้าเชฟทั้งสามสิบหกคนที่มารวมกันอยู่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าตัวเองดีกว่า เธอคือคนที่ได้รับความเคารพอย่างแท้จริง ที่พวกเขาสงสัยก็คือตัวมินจุน ผู้ที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำคนแรกในประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่เรเชลให้ความสนใจและเลือกมาด้วยตัวเอง เขาจะมีศักยภาพที่แอบแฝงอยู่แค่ไหน แล้วเรเชลวาดภาพเกี่ยวกับตัวเขาไว้ยังไง ทุกคนอดที่จะสงสัยไม่ได้ เดฟยิ้มอย่างใจดีพลางสังเกตสีหน้าของมินจุน อีกฝ่ายไม่ใช่คนประเภทที่จะเก็บความรู้สึกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเจ้าตัวยังไม่รู้จริงๆ ว่าถูกพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นไปในทิศทางไหน

    อลันเคยบอกเอาไว้ว่าคนคนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ จะบอกว่าถ่อมตัวหรือว่ายังไม่รู้จักตัวเองดีพอกันนะ

    อย่างน้อยในสายตาของเดฟ มินจุนก็มีพรสวรรค์มากจนน่าตกใจ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่ามีลิ้นอ่อนไหวเท่านั้น แต่ทั้งความสามารถในการควบคุมจัดการในครัว และ…เมื่อกี้เขาบอกว่าชอบซอสมากที่สุดด้วย ความจริงคนที่จะดูแลครัวใหญ่ๆ นั้นฝีมือในการทำซอสแทบจะส่งผลต่อทุกอย่าง ซึ่งก็น่าที่จะเป็นแบบนั้น ถ้าเขาได้เป็นหัวหน้าเชฟ สุดท้ายเขาอาจจะไม่ได้ทำอาหารเองโดยตรง แต่จะได้ทำในทางอ้อม ไม่ว่าฝีมือในการทำอาหารจะดีแค่ไหน แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ว่าพอได้เป็นหัวหน้าเชฟดูแลร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง อาหารที่ถูกยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้ากลับไม่มีคุณภาพ ทว่าถ้าเป็นซอสก็ไม่จำเป็นต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น หัวหน้าเชฟที่ชำนาญการทำซอสอาวุธจะอยู่ที่ซอสที่ราดลงไปมากกว่าระดับความสุกของสเต๊กหรือว่าพาสต้าอัลเดนเต้ ถ้าสูตรของซอสดี ไม่ว่าใครเป็นคนทำก็ไม่แตกต่างกัน

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook