• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 2

    เป็นการเลือกที่ฉลาดจริงๆ

    ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่าถ้าอยากเป็นหัวหน้าเชฟร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่งก็ต้องทุ่มความสนใจให้กับการทำซอสอย่างเต็มที่ แต่การจะทำแบบนั้นได้ตั้งแต่ตอนเป็นเดมี่เชฟก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ว่าจะรับผิดชอบส่วนพาสต้า แอพเพอไทเซอร์ หรือจานหลักก็ตาม การจะเดิมพันทุกอย่างด้วยซอสเพียงอย่างเดียวถือเป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะแบบนั้นการที่มินจุนได้ดูแลส่วนอาหารโมเลกูลาร์จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา เพราะว่าอาหารโมเลกูลาร์มักจะเกี่ยวข้องกับซอสหรือไม่ก็ต้องทำซอสเยอะ วัตถุดิบและการผสมผสานสร้างผลลัพธ์บางอย่างออกมา เมื่อวัตถุดิบต่างๆ กับเทคนิคการทำอาหารโมเลกูลาร์ที่หลากหลายมาเจอกันจะได้ออกมาเป็นรสชาติแบบไหนนั้น มันจะเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เรียนรู้อย่างดี แต่ถ้าทั้งหมดนี้เกิดจากการคิดวางแผนไว้ล่วงหน้า มินจุนก็คงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ฉลาดมากๆ เดฟคิดแบบนั้นแล้วก็ไตร่ตรองความคิดตัวเอง

    ภาพของเดฟที่คุยกับมินจุนดูน่าประทับใจ ทีมงานที่ยืนรออยู่เดินเข้าไปหาเดฟและขอสัมภาษณ์ แน่นอนว่าเดฟไม่ได้ปฏิเสธ พาโวยิ้มอย่างเป็นมารยาทอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องอาหารและพูดว่า

    “เป็นเกียรติมากเลยครับที่ได้เจอ เดฟ”

    “ไม่ถึงกับเป็นเกียรติอะไรมั้งครับ ผมก็เป็นแค่หนึ่งในเชฟที่มีอยู่มากมาย”

    “ถ้าหัวหน้าเชฟที่ได้สามดาวมีเยอะขนาดนั้น วงการนักชิมอาหารของประเทศนี้ก็คงครองโลกไปแล้วครับ”

    การพูดจาเยินยอกันไปมาดำเนินไปได้ไม่นานพาโวก็ถามขึ้นมาตรงๆ

    “ผมคิดว่าคุณคงจะรู้เรื่องข่าวลือที่กำลังมีคนพูดถึงกันอยู่ในตอนนี้ว่าเชฟเรเชลคิดจะยกร้านให้เชฟมินจุนเป็นผู้สืบทอดกิจการ เวลาที่มีการพูดถึงศิษย์เอกของเชฟเรเชลทีไรก็มักจะได้ยินชื่อของคุณเดฟมาโดยตลอด คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ”

    “ภาพลักษณ์ของผมคงจะอยู่ระหว่างฟ้ากับเหว ขึ้นอยู่กับว่าจะตอบอย่างเสแสร้งหรือว่าตอบตามที่คิดจริงๆ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็คิดให้ดีๆ แล้วค่อยตอบครับ”

    เดฟยิ้มอย่างฝืนๆ แม้ว่าชีวิตเขาจะมีแต่เรื่องทำอาหาร แต่ถึงยังไงก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่าความโลภไปได้ เรเชลไม่มีลูก พวกหัวหน้าเชฟโรสไอส์แลนด์หลายคนจึงมีความหวังว่าต่อไปเรเชลอาจจะยกร้านให้กับตัวเอง ไม่ใช่เชฟทุกคนที่เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็มีคนที่สนใจมินจุนค่อนข้างมาก ถ้าถึงวันที่มินจุนได้เป็นผู้สืบทอดของเรเชลขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่อีกฝ่ายจะได้คือสิทธิ์ในการจัดการร้านสาขาเวนิสอย่างเดียว หรือสิทธิ์ในการจัดการร้านทุกสาขาทั่วโลกกันนะ เดฟไม่ได้โลภเรื่องเงินทอง ถ้าเขาต้องการเงินก็คงไปเป็นเชฟในโรงแรมหรูตั้งแต่แรก ไม่ใช่โรสไอส์แลนด์ สิ่งที่เขาต้องการมีแค่อย่างเดียว…

    “ผมทุ่มเททั้งชีวิตให้กับโรสไอส์แลนด์ และไม่เคยเสียใจกับการมีชีวิตแบบนั้นเลยสักครั้งครับ”

    “ครับ มันเป็นชีวิตที่ดี”

    “เชฟคนอื่นๆ ก็คงจะรู้สึกคล้ายกับผม การเอาเรื่องที่อาจารย์เรเชลยังไม่เคยเอ่ยปากมาพูดกันไปเองมันก็ดูไม่ดีมากอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณถามมาแบบนี้ ผมจะไม่ตอบก็คงไม่ดี…ถ้ามินจุนได้เป็นผู้สืบทอดขึ้นมา ผมก็คงรับไม่ได้ เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์หลายอย่างและเป็นเชฟที่มีความสามารถ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ครับ เขายังเป็นแค่เดมี่เชฟ เขาต้องเติบโตขึ้น และท่าทีของเชฟคนอื่นๆ ก็คงจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถเติบโตได้ถึงไหน”

    “ท่าทีที่ว่าหมายถึง…การที่เขาจะได้สิทธิ์ในการจัดการหรือไม่งั้นเหรอครับ”

    “ใกล้เคียงครับ ถ้าเขาเติบโตไปเป็นเชฟที่มีอยู่จนเกลื่อนแล้วก็คงจะไม่มีใครยอมรับในตัวเขา แต่ถ้าเขาทำอาหารได้ดีมากระดับอาจารย์เรเชล หรืออาจารย์แดเนียล…”

    เดฟยักไหล่

    “จะมีใครบ้างล่ะครับที่ไม่ยอมรับ”

    “มินจุนดูจะตกที่นั่งลำบากกว่าที่คิดนะครับเนี่ย”

    “ไม่รู้ว่าเขาจะตระหนักถึงเรื่องนั้นรึเปล่า ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องตระหนัก เพราะสุดท้ายสิ่งที่เขาต้องทำนั้นก็ไม่ใช่การสนองความคาดหวังของพวกเรา แต่เป็นการที่เขาเดินไปตามทางของตัวเองให้ดี ไม่จำเป็นต้องสร้างความอึดอัดใจให้เขาโดยไม่จำเป็น”

    “แต่สุดท้ายมินจุนก็คงจะได้รู้อยู่ดี เพราะบทสัมภาษณ์นี้จะถูกนำไปออกอากาศ”

    “อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องที่สักวันเขาก็ต้องรู้”

    เดฟตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถ้ารับแรงกดดันแค่นั้นไม่ไหวก็คงไม่มีคุณค่าพอให้พวกเขาคาดหวังตั้งแต่แรก แต่มินจุนไม่ใช่คนที่อ่อนแอแบบนั้น ขณะที่เดฟกำลังครุ่นคิดเสียงของฟิลลิปก็ดังแทรกขึ้นมา

    “เดฟ มานั่งได้แล้ว จะเริ่มเสิร์ฟแล้ว”

    “โอเค ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”

    “ขอบคุณที่ให้สัมภาษณ์นะครับ”

    พาโวยิ้มกว้างแล้วมองเดฟที่เดินจากไป เขาดูใจเย็น แต่ก็ไม่รู้ว่าเชฟคนอื่นจะคิดแบบเดียวกันรึเปล่า การที่คนมาทีหลังกำลังจะขึ้นไปอยู่เหนือพวกเขาเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถรับได้จริงหรือ จะให้ถามคำถามนั้นกับทุกคนก็ดูจะตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย มีแนวโน้มว่าอาจทำให้เสียความรู้สึกได้อีกด้วย พาโวมองเดฟอยู่ไกลๆ สีหน้าของเขาขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง สีหน้านั้นทำให้เดโบร่าห์อดที่จะแซวไม่ได้

    “ทำไมต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นด้วย”

    “มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ ก็ที่นี่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำและการเริ่มต้น ตอนอาจารย์เรเชลวางมือไปก็ไม่คิดว่าที่นี่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง มันตื้อไปหมด”

    “ใครจะรู้ ไม่แน่อาจารย์อาจจะวางมือไปโดยไม่บอกอะไรเราเหมือนคราวก่อนอีกก็ได้”

    “ตอนนี้อาจารย์มีความหวัง อาจจะเป็นความหวังที่มีต่อมินจุน ยังมั่นใจไม่ได้ว่าความหวังนั้นจะหวังได้จริงรึเปล่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องขอบคุณเขา เดโบร่าห์ เสาหลักกลับมาแล้ว สร้างความหนักแน่นให้พวกเราไม่หวั่นไหว แค่นั้นฉันก็รู้สึกว่าสามารถเข้าไปจูบเขาได้แล้ว”

    “เขาไม่น่าจะต้องการจูบของนายนะ”

    “งั้นก็โชคดีไป ทั้งสำหรับฉันและเขา”

    เดฟหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ตอนนั้นพนักงานเสิร์ฟก็เดินเข้ามาใกล้แล้วแจกเมนู พนักงานเสิร์ฟเพิ่งถูกฝึกมาไม่นานเท่าไหร่ แต่การวางเมนูมีระยะที่พอดีกันเป๊ะ เดฟหยิบเมนูขึ้นมาดูพลางพูดว่า

    “มีทั้งหมดสิบอย่าง ที่เลือกได้ก็มีพาสต้า จานหลัก แล้วก็ของหวาน…ส่วนแอพเพอไทเซอร์เป็นปลากะพงเกือบทั้งหมด หน้าปลากะพงค่อนข้างนาน เมนูพวกนี้ก็น่าจะใช้ได้นาน”

    “อะลาคาร์ตไม่ได้ใช่มั้ย”

    “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลูกค้า ร้านของเราไม่มีแบบอะลาคาร์ตครับ”

    “ไม่ได้ถามเพราะอยากกินอะลาคาร์ตหรอกครับ อย่าใส่ใจเลย”

    อะลาคาร์ตหมายถึงการสั่งอาหารแต่ละจานในคอร์สและเลือกองค์ประกอบเอง ดูเผินๆ อาจจะน่าสนุก แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เชฟที่จะทำอะลาคาร์ตได้ต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านอาหารค่อนข้างแน่น และต้องวิเคราะห์ได้ดีด้วยว่าอาหารของร้านมีรสชาติแบบไหน แต่โรสไอส์แลนด์จะเปลี่ยนเมนูเล็กน้อยในทุกๆ สิบห้าวัน นอกจากนั้นยังจองยากจึงทำให้ไม่สามารถมาบ่อยๆ ได้ ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดก็เหมือนกัน แม้ถ้ามีการยกเลิกการจองก็จะมีการแจ้งให้ทราบว่ามีโต๊ะว่างก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับร้านอื่นแล้วโรสไอส์แลนด์มีการยกเลิกการจองน้อยมาก คนที่จองร้านโรสไอส์แลนด์ไม่ใช่แค่เพราะอยากมากินอาหารสักมื้อเท่านั้น บางคนบินมาจากอีกซีกโลกเพื่อมาที่โรสไอส์แลนด์ เป็นการจองที่คาดหวังและปรารถนาให้มันคงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ก็แทบไม่มีคนยกเลิกการจอง เพราะแบบนั้นการทำอะลาคาร์ตในร้านโรสไอส์แลนด์จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลา คอร์สอาหารไม่ใช่แค่การจับเอาอาหารอะไรก็ได้มารวมกัน องค์ประกอบของคอร์สแสดงให้เห็นถึงความพากเพียรในการคิดสูตรอาหารแต่ละอย่าง สัญชาตญาณกับประสบการณ์ความชำนาญที่เชฟมีต่ออาหาร ถ้ากินคอร์สเดิมมาแล้วหลายครั้งเลยอยากลองสั่งอย่างอื่นมาลองบ้างก็ว่าไปอย่าง แต่ที่โรสไอส์แลนด์คุณไม่สามารถกินอาหารเดิมได้หลายๆ ครั้งอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะไม่มีอะลาคาร์ต

    “พาสต้าขอเป็นสปาเกตตี้แล้วกัน วิเคราะห์อาหารจากพื้นฐานนี่ล่ะสนุกที่สุด”

    “ถ้างั้นฉันเอาเป็นฟูซิลลี*”

    “ฟูซิลลีเหรอ คงยากนะที่จะทำให้อร่อยได้”

    “ก็เพราะทำของที่ยากจะอร่อยให้อร่อยได้ไง อาจารย์ของเราถึงได้สุดยอด”

    “เรื่องนั้นก็จริง แต่ฉันขอเป็นสปาเกตตี้ดีกว่า ส่วนจานหลักเอากงฟี น่องเป็ดกงฟี”

    “กงฟีเหรอ เมื่อกี้เห็นใครว่าอยู่นะว่าซิมเมอร์ไม่ค่อยโอเค จะดีเหรอ”

    “นี่นายกำลังถามอะไรของนายเนี่ย เชฟเรเชลก็บอกแล้วนี่ว่าให้เราช่วยประเมินพวกเดมี่เชฟและตอนนี้เชฟเรเชลก็อยู่ในครัวด้วย ไม่ใช่ห้องอาหาร ต่อให้เด็กอนุบาลมาทำ แค่มีเชฟเรเชลก็ต้องอร่อยกว่าเดิมอยู่แล้ว”

    เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อถือที่มีต่อเรเชลสูงแค่ไหน เดฟยักไหล่

    “ฟังดูเว่อร์เกินไปหน่อยนะ แต่ก็ไม่มีอะไรจะค้าน ส่วนฉัน…อืม เอาเป็นแก้มวัวตุ๋น ของหวานไว้รอกินจานหลักเสร็จแล้วค่อยสั่งได้มั้ย ไม่สิ แบบนั้นคงจะช้าไป งั้นจะสั่งตอนกินพาสต้าก็แล้วกัน ได้ใช่มั้ยครับ”

    “แน่นอนครับ เครื่องดื่มมีน้ำแร่กับน้ำอัดลม และน้ำแร่ผสมน้ำมะนาว รับเป็นแบบไหนดีครับ”

    “เอาเป็นน้ำอัดลมแล้วกันครับ ไม่ดีกว่า เอาเป็นน้ำมะนาว”

    “ครับผม”

    พนักงานเสิร์ฟยิ้มและรับออเดอร์ต่อจนเสร็จจึงค่อยๆ หันกลับไป ทั้งหมดสูงหล่อและผอมสวยกันทั้งนั้น ความจริงไม่มีอาชีพไหนที่รูปลักษณ์ภายนอกจะสำคัญมากเท่าพนักงานเสิร์ฟอีกแล้ว โดยเฉพาะร้านอาหารที่หรูหราแบบโรสไอส์แลนด์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีคนหน้าตาดีราวกับนายแบบนางแบบมารับออเดอร์ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้าอารมณ์ดีขึ้นด้วย

    พนักงานเสิร์ฟกลับเข้ามาวางพวกน้ำอัดลมกับน้ำมะนาวลงบนโต๊ะ เดโบร่าห์มองฟองน้ำอัดลมแล้วพูดว่า

    “คราวก่อนไปร้านอาหารในนิวยอร์ก เขาขายน้ำแร่กับน้ำอัดลมอย่างละสามสิบเหรียญ มันอยู่ในขวดที่ดูหรูหราก็จริงนะ แต่ถ้าถามว่ามันมีค่าถึงสามสิบเหรียญจริงรึเปล่า ฉันบอกตรงๆ เลยนะว่าฉันไม่รู้”

    “แล้วเธอต่อว่าไปรึเปล่า”

    “ว่าสิ ไม่ใช่ในฐานะลูกค้า แต่ในฐานะเชฟฉันรับไม่ได้น่ะ เอาของที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรขนาดนั้นมาเสิร์ฟให้ลูกค้าแล้วเก็บเงินแบบเกินจริง เดิมทีเขาไม่ใช่คนแบบนั้นเลย เขาเคยชอบอาหาร แล้วก็ดีใจมากที่มีร้านเป็นของตัวเอง…”

    “โอนเนอร์เชฟงั้นเหรอ”

    “อือ ก็เลยยิ่งเป็นแบบนั้นไง พอได้เห็นการเงินของร้านเพิ่มขึ้นลดลงด้วยตาตัวเองก็เลยเกิดความโลภ ฉันเข้าใจนะ อุดมการณ์อาจสั่นคลอนได้ แต่ถึงจะสั่นคลอนก็ไม่ควรไปล้มมัน”

    แล้วตอนนั้นเองพนักงานก็นำเชียบัตต้าสีเหลืองและซอสสามชนิดมาเสิร์ฟ

    “เรียงลำดับจากทางขวามือ เนยกลิ่นกานพลู ตาเปนาด*ผสมเฟต้าชีส และฟัวกราส์ปาเตค่ะ ทาได้ตามความชอบเลยนะคะ ขอแนะนำว่าทานครั้งแรกอย่าเพิ่งทาอะไร ให้ลองชิมรสชาติของขนมปังดูก่อนค่ะ”

    เดโบร่าห์ฉีกขนมปังใส่ปากแล้วพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

    “ได้ยินว่าปาติซิเย่เป็นลูกสาวของลุงแจ็ค”

    “อ้าวเหรอ”

    “ดูรสชาตินี่สิ เหมือนเลย คงความเหนียวของแป้งสาลีกับกลิ่นธัญพืชไว้ได้ดี เป็นเชียบัตต้าที่สมบูรณ์แบบ”

    “คนไม่รู้กินเข้าไปอาจคิดว่าใส่เนยลงไปก็ได้นะเนี่ย”

    “ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ”

    เดโบร่าห์ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่กำลังจะพูดต่อพนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟของทอดรูปร่างเหมือนลูกบอลเล็กๆ วางอยู่บนผงซอสสีเขียว แล้วหนึ่งในพนักงานเสิร์ฟก็พูดว่า

    “ลูกชิ้นที่ทำจากกุ้ง เนื้อหมู และผักชีชุบเกล็ดขนมปัง นำไปทอด แล้ววางไว้บนกรีนมัสตาร์ดซอสค่ะ ลองชิมดูสิคะ”

    เดโบร่าห์ดมก่อนจะนำเข้าปาก รสของน้ำมันที่ติดอยู่บนเกล็ดขนมปัง กลิ่นที่ซึมอยู่ในมัสตาร์ดซอสที่ทำเป็นผง และความหนึบที่เกิดจากการผสมเนื้อหมูและกุ้ง ความกลมกล่อมที่ได้รับทำให้ความอยากอาหารพุ่งขึ้นไปจนไม่สามารถสูงไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ทั้งโกรธและทั้งมีความสุข จนถึงกับทำหน้าแปลกๆ ออกมา

    “เฮ้อ หงุดหงิดจริงๆ รู้สึกโมโห แต่พอกินเจ้านี่เข้าไปก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งที่เรื่องที่จะเล่ามันต้องเล่าด้วยอารมณ์โกรธแท้ๆ”

    “ที่แน่ๆ คือรสชาติกลมกล่อมของหมูกับกุ้งนี่ทำให้หิวมากเลย ไม่ว่าเธอจะเล่าอะไรก็คงไม่เข้าหูทั้งนั้นแหละตอนนี้”

    “ถึงอย่างนั้นก็ต้องฟัง เทคนิคการขายที่ไปกระตุ้นความฟุ้งเฟ้อของพวกคนมีเงินเพื่อดูดเงิน คิดว่าคนเป็นเชฟควรทำเหรอ”

    “มันก็ไม่ได้ดูซื่อสัตย์เท่าไหร่หรอกนะ แต่ทำไงได้ ถ้าเขาขายแบบนั้นแล้วมีคนรับได้ก็ต้องตามนั้น คนบางคนก็แค่ต้องการร้านอาหารที่ตัวเองสามารถแสดงออกถึงความมั่งมีมากกว่ารสชาติอาหาร ฉันก็ชอบอาหารแบบที่เราสามารถเพลิดเพลินกับรสชาติได้มากกว่า แต่…”

    “อาหารร้านเขาไม่ได้ไม่อร่อย ถือว่าค่อนข้างอร่อยเลยล่ะ ฉันก็เลยยิ่งโมโหไง ทั้งที่มีความสามารถในการทำอาหารแต่กลับใช้เทคนิคการขายแบบนั้น”

    “ขึ้นอยู่กับความต่างของสถานภาพบุคคล เชฟที่เป็นศิลปินกับเชฟที่เป็นนักธุรกิจ เพื่อนเธอคงเป็นแบบหลัง”

    เดโบร่าห์เลียผงที่เหลืออยู่บนช้อนแทนการพูดอะไร เดฟยิ้ม

    “คงอร่อยจริงๆ สินะ ดูจากท่ากินแล้ว”

    “ก็มันเสียดาย ลองคิดถึงเงินและเวลาที่ใช้ไปเพื่อที่เรามากันถึงนี่สิ”

    “ไม่เสียเงินสักหน่อย อาจารย์เรเชลเป็นคนซื้อตั๋วให้”

    “ยังไงก็เถอะ เราจะมีโอกาสได้กินอาหารในร้านสาขาใหญ่บ่อยแค่ไหนกัน จะให้เหลือทิ้งน่ะเหรอ ฉันน่ะจะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อมันเป็นร้านที่อาหารไม่อร่อย มีค่าแค่ให้เราแกล้งทำตัวมีระดับนั่งไขว่ห้างเท่านั้นแหละ ถ้าอาหารอร่อยจริงๆ ความมีระดับจะไปสำคัญอะไร”

    อาหารในตอนนี้กับตอนที่เดมี่เชฟแยกกันทำก่อนหน้านี้มีรสชาติต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นรสชาติที่พยายามเลียนแบบความเป็นสุดยอดล่ะก็ นี่ก็คือรสชาติสุดยอดที่แท้จริง เดโบร่าห์พูดพึมพำด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

    “ทำเกินไปจริงๆ…ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว อาจารย์พักไป แต่ฉันทำงานอยู่ตลอด เลยคิดว่าความต่างจะน้อยลงบ้าง…”

    “รู้สึกเหมือนมันเพิ่มขึ้นใช่มั้ย ฉันเข้าใจ เพราะฉันก็รู้สึกเหมือนกัน”

    “คนที่ได้สามดาวอย่างนายพูดแบบนั้น ฉันยิ่งหดหู่ใจกว่าเดิม เส้นทางการทำอาหารช่างยาวไกลจริงๆ”

    “ถ้ามันสั้นแล้วเธอจะชอบมากกว่าเหรอไง”

    “เปล่าเลย คงไม่ชอบ”

    เดฟพูดเสียงเบา ถ้าเป็นภูเขาที่สามารถขึ้นไปถึงยอดได้ภายในห้านาทีก็คงไม่มีใครเห็นคุณค่า มันคงเป็นแค่ภูเขาทั่วไป สาเหตุที่คนที่ปีนยอดเขาหิมาลัยได้รับการยอมรับก็เพราะว่ามันเป็นภูเขาที่ไม่ใช่ทุกคนสามารถปีนได้ การทำอาหารก็เหมือนยอดเขาหิมาลัยสำหรับพวกเขา ถึงแม้จะยังปีนขึ้นไปไม่ถึง แต่จะต้องมีสักวันที่พิชิตยอดเขาได้แน่นอน

    อาหารจานถัดไปถูกยกมาเสิร์ฟ จานนี้เป็นซอสโฟมเบคอน ซุปมันฝรั่งที่มีโฟมเบคอนอยู่ด้านบน พอตักใส่ปากไปหนึ่งคำเดโบร่าห์ก็ทำตาโตแล้วมองไปที่ซุป เป็นอาหารที่ทำให้รู้สึกช็อกแบบที่ไม่เป็นมานานแล้ว

    “โห แทบจะหลุดด่าออกมาเลย โฟมเบคอนนี่ทำไมรสชาติถึงเข้มข้นแบบนี้ เหมือนมีเบคอนทั้งก้อนอยู่ในนี้เลย”

    “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสามารถของราฟาเอล ยุนหรือของอาจารย์เรเชล แต่จานนี้แสดงออกถึงพื้นฐานของอาหารโมเลกูลาร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย การดึงเอารสชาติออกมา ของทอดก่อนหน้านี้ก็อร่อยนะ แต่ซุปนี่อร่อยที่สุดในบรรดาอาหารที่ฉันกินในปีนี้ ไม่ใช่สิ ในบรรดาอาหารที่เคยกินตลอดชีวิตเลย…”

    ทุกคนที่กินโฟมเบคอนที่อยู่บนซุปเข้าไปต่างก็ทำสีหน้าคล้ายกันหมด จากเมนูที่พวกเขาเห็นมีการใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์เกือบแทบทุกจาน บางอย่างเป็นอาหารโมเลกูลาร์เลยทั้งหมดก็มี สรุปคือไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ละจานมีการใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์แทบทั้งนั้น แล้วเดมี่เชฟที่รับผิดชอบอาหารโมเลกูลาร์ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นมินจุน ตำแหน่งที่ต้องมีความเข้าใจภาพรวมอาหารทุกอย่างที่เรเชลเป็นคนกำหนดกลายเป็นฝ่ายอาหารโมเลกูลาร์ไปซะแล้ว

    ไม่มีใครจะเจ้าเล่ห์ได้อย่างอาจารย์อีกแล้ว

    เดฟเบ้ปากอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าทำไมมินจุนถึงได้มารับผิดชอบส่วนอาหารโมเลกูลาร์ แต่มีอย่างหนึ่งที่รู้แน่ก็คือมีความเป็นไปได้สูงที่เรเชลอยากให้มินจุนดูแลส่วนอาหารนี้ ถ้าต้องการพัฒนาความสามารถในฐานะเชฟคงไม่มีส่วนงานไหนที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

    “น่าโมโหชะมัด”

    “ทำไมล่ะ กำลังกินของอร่อยอยู่แท้ๆ”

    “เคยเห็นลูกศิษย์คนไหนที่อาจารย์ใส่ใจเป็นพิเศษแบบนี้บ้างมั้ยล่ะ ฉันรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเลย ได้ยินว่าตอนแม่คลอดฉันออกมา พี่ชายฉันทั้งอิจฉาและกระวนกระวายใจมากๆ ตอนนี้ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของพี่ตอนนั้นแล้ว”

    “ตอนนั้นนายคิดกับพี่ยังไง”

    “ก็คิดว่าเขาทำตัวเป็นเด็กเกินไปเมื่อเทียบกับอายุน่ะสิ แต่ว่า…”

    เดฟเอ่ยปาก แต่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ เพราะเดโบร่าห์เหมือนรู้ว่าเดฟอยากจะพูดอะไร เธอก็รู้สึกเหมือนเขา ไม่สิ หัวหน้าเชฟมากมายที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะรู้สึกเหมือนกัน…ความรู้สึกที่อยากให้คนที่เรารักปฏิบัติต่อเราดีกว่าคนอื่น

    หลังจากผ่านความช็อกจากโฟมเบคอนที่อยู่บนซุปมันฝรั่งไป จานต่อมาก็เป็นคาร์ปาชโช่เซบิเช่ปลากะพง บนจานมีเนื้อปลาที่ถูกหั่นเป็นชิ้นกลมบาง หัวไช้เท้า และเยลลี่กับสลัดที่มีรูปทรงเหมือนกันวางอยู่ รสชาติซอสที่ทำจากมะนาวซึ่งผ่านการหมักทิ้งไว้ซึมเข้าไปถึงเนื้อปลาทำให้ไม่มีกลิ่นคาวเลย พอมาเจอความหนึบของเยลลี่และความกรอบของหัวไช้เท้าก็ทำให้องค์ประกอบสมบูรณ์จนไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ ความกลมกล่อมและกลิ่นน้ำทะเลจางๆ เหมือนกับน้ำซุปปลาอยู่ในเยลลี่ นอกจากนี้ยังมีรสชาติที่หมดจดของน้ำมันมะกอกที่ราดบนสลัด รวมกับความสดชื่นของหัวไช้เท้าก็ทำให้เซบิเช่กลายเป็นอาหารที่อร่อยถึงขั้นคิดว่าจะมีใครที่ทำได้อร่อยกว่านี้อีกรึเปล่า

    “นี่น่าจะเหมาะให้คนที่ไม่กินปลาดิบได้ลองกินเป็นครั้งแรก คว้านส่วนที่ทำให้คนกินยากออกไปหมดเลย”

    “เซบิเช่ซอสแค่มีสูตรไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้แล้ว อาจจะมีประเด็นเรื่องคุณภาพวัตถุดิบอยู่บ้าง แต่ครัวของอาจารย์เรเชลไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น”

    คนระดับเรเชลไม่มีทางใช้วัตถุดิบที่ไม่ดีที่สุด เพราะการหาวัตถุดิบที่ดีถือเป็นข้อควรปฏิบัติขั้นพื้นฐานของเชฟ เดโบร่าห์ตักหัวไช้เท้า เยลลี่ และปลากะพงอย่างละสองชิ้นใส่ปากพลางยิ้มอย่างมีความสุข เดฟหรี่ตามองเธอ

    “ในฐานะเชฟวิธีกินแบบนั้นมันดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่นะ”

    “เป็นอาหารที่ไม่อยากทำตัวเรียบร้อย เพราะอร่อยมาก อยากจะยัดๆ เข้าไปเลย”

    “เธอก็รู้นี่ ถ้าทำแบบนั้นมันจะไม่อร่อย”

    “ไม่ใช่ไม่อร่อย ก็แค่ไม่สามารถใส่ใจกับรายละเอียดของรสชาติได้ดีเท่านั้นเอง แต่ว่าเวลากินเราต้องใส่ใจหรือว่าแค่มีความสุขไปกับมัน มันก็ขึ้นอยู่กับคนกินไม่ใช่เหรอ”

    “ฉันชอบใส่ใจมากกว่า มินจุนเองก็น่าจะเหมือนกัน”

    “นี่เอาตัวเองไปเทียบกับคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำเลยเหรอ”

    เดฟยิ้มและตักเยลลี่ก้อนหนึ่งใส่ปาก เยลลี่ทำออกมาได้ดีมาก ถ้าจะให้หาข้อเสียของเซบิเช่จานนี้จริงๆ ก็คือการที่รสชาติซอสซึมเข้าไปถึงด้านในเนื้อปลาจึงทำให้รสชาติของปลาเจือจางลง แต่เยลลี่ที่เสิร์ฟคู่กันมีความมันและกลมกล่อมเหมือนน้ำซุปปลา จึงช่วยเติมเต็มรสชาติที่ขาดหายไปของกันและกันได้

    “คุ้มค่ากับการทุ่มเทศึกษาเรื่องอาหารโมเลกูลาร์จริงๆ เพราะทำสิ่งที่เทคนิคการทำอาหารแบบธรรมดาไม่สามารถทำออกมาได้ ก็เหมือนกับโลกที่เคยมีแค่เกลือกับน้ำตาล แล้วอยู่ๆ ก็มีน้ำมันมะกอกโผล่เข้ามาไง”

    “เปรียบเทียบดีนะเนี่ย แต่มีการใช้เจลาตินมานานแล้วนะ แค่เพิ่งเริ่มเอาซอสมาทำเป็นเยลลี่เมื่อไม่นานมานี้ จะว่าไปถ้าลองปรับปรุงเทคนิคการทำอาหารที่มีอยู่ตอนนี้ก็อาจจะได้อาหารรูปแบบที่แตกต่างไปเลยก็ได้”

    “สุดท้ายมันก็คืออาหารโมเลกูลาร์อยู่ดีนั่นแหละ ความจริงอาหารทุกอย่างก็ใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์หมด สมัยนี้คนมักคิดว่าอาหารโมเลกูลาร์ต้องใช้เครื่องมือหรือวัตถุดิบพิเศษ แต่อย่างขนมปังที่เรากินกันทั่วไปก็เป็นอาหารที่ซับซ้อนมาก แล้วก็ใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์เหมือนกัน แค่ว่าเราคุ้นเคยกันดีแล้วเท่านั้นเอง”

    เมื่อได้ยินคำพูดของเดฟ เดโบร่าห์ก็ตักปลากะพงคำสุดท้ายใส่ปาก เธอพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ทั้งมีความสุขแล้วก็เสียดาย

    “นานแล้วเหมือนกันนะที่ไม่ได้รู้สึกเสียดายเวลาที่กินหมด ถ้าลูกค้าที่มาร้านฉันรู้สึกแบบนี้บ้างก็คงจะดี”

    “หนึ่งดาวก็ดีพอแล้ว ในบรรดาเชฟน่าจะมีคนที่ชื่นชมเธอเยอะอยู่”

    “แต่เชฟพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาจารย์เรเชลนี่ ทั้งที่ได้อยู่ข้างอาจารย์เรเชลและได้เห็นอะไรมากมายเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่พ้นจากหนึ่งดาว บางครั้งมันก็น่าอายนะ”

    ในระหว่างที่เดโบร่าห์ทำหน้าตาหดหู่ อาหารจานถัดไปก็ถูกยกเข้ามา และถูกวางลงพร้อมกันอย่างไร้ข้อผิดพลาด แม้ว่าร้านอาหารของพวกเขาจะให้บริการเหมือนกัน แต่การได้รับการบริการด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะไม่มีเงินไปร้านอาหาร หัวหน้าเชฟในร้านระดับโรสไอส์แลนด์ได้เงินเดือนค่อนข้างสูง และยิ่งเป็นคนดูแลร้านอาหารที่ได้สามดาวอย่างเดฟด้วยล่ะก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สาเหตุที่เขาไม่ค่อยได้ไปร้านอาหารอื่นก็เพราะไม่มีเวลา ร้านอาหารของเขาไม่ใช่ร้านที่ไม่มีวันหยุดเลยตลอดปี วันอาทิตย์คือวันหยุด แต่สำหรับหัวหน้าเชฟแล้ววันหยุดก็เหมือนไม่ใช่วันหยุด เวลาผ่านไปโดยไม่อาจยับยั้ง นักชิมอาหารก็คาดหวังให้มีการเปลี่ยนเมนูอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อเดือน การจะตอบสนองความต้องการนั้น วันหยุดก็เป็นแค่การไม่เปิดหน้าร้านเท่านั้นเอง มีเรื่องให้คิดจนต้องปวดหัว การที่เขาจะได้ไปร้านอาหารร้านอื่นก็เพื่อวิเคราะห์คู่แข่ง ดูว่าพวกเขามีการบริการยังไง มีวิธีจัดจานแบบใหม่ขนาดไหน ใช้วัตถุดิบอะไรในการทำอาหาร ทั้งหมดนี้เป็นไปได้เพราะว่าเขามีความรักในการทำอาหารเป็นพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็เหนื่อยล้ามาก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีกับช่วงเวลานี้มาก

    เดฟค่อยๆ ตักเอ็นหอยนึ่งที่มีคาเวียร์วางอยู่ด้านบนใส่ปากอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าคาเวียร์ที่วางอยู่บนเอ็นหอยจริงๆ แล้วไม่ใช่คาเวียร์ น่าจะเป็นซอสที่ใช้เทคนิคทำให้เป็นรูปทรงขึ้นมา กลิ่นน้ำมันมะกอกจางๆ ฟุ้งกระจาย รับรู้ได้ถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร ที่สนุกก็คือมันไม่ได้รบกวนกลิ่นของเอ็นหอยเลยสักนิด การที่จะทำให้กลิ่นวัตถุดิบแต่ละอย่างเข้ากันได้เป็นเรื่องยากมาก แต่ในจานนี้มันเป็นแบบนั้น และเป็นอย่างสมบูรณ์แบบด้วย เดฟยิ้มบางๆ ออกมา

    “สมกับเป็นอาจารย์จริงๆ คอยดุคอยว่าพวกเราแรงๆ แต่ตอนทำอาหารกลับเพลิดเพลินที่สุด ว่ามั้ย”

    “เรื่องนั้นฉันก็รู้น่า แต่ลูกค้าของฉันจะรู้สึกแบบนั้นรึเปล่านะ”

    “ถ้าวัตถุดิบหลักคือปลา ไม่ว่าจะทำอะไรออกมา สุดท้ายมันก็คือเมนูปลานั่นแหละ แต่ถ้าเราทำอย่างมีความสุขมันก็จะออกมาเป็นอาหารที่ทำให้ลูกค้ามีความสุข และอีกอย่างนะ เดโบร่าห์ เธอควรมั่นใจในตัวเองบ้าง เวลาที่ลูกค้าไปร้านเธอเขาไม่ได้คิดว่า ‘ร้านหนึ่งดาวไม่อร่อยเท่าร้านสองดาวหรือสามดาว’หรอกนะ เขาจะคิดว่านี่เป็นร้านอาหารดีๆ ที่ได้หนึ่งดาวต่างหาก”

    “ขอบใจนะที่ปลอบใจ มันก็พอช่วยได้บ้าง”

    หลังจากกินเอ็นหอยหมดแล้ว จานต่อมาคือซุปข้นที่ทำเป็นครีม กินคู่กับฟัวกราส์ซูวีและหน่อไม้ฝรั่งย่าง เรียกได้ว่าเป็นจานที่เทคนิคทางวิทยาศาสตร์มีความสำคัญที่สุดในบรรดาอาหารที่ถูกเสิร์ฟไปแล้ว เดฟมองเข้าไปในครัว ภายในครัวเปิดมินจุนกำลังง่วนอยู่กับเครื่องมือทำอาหารโมเลกูลาร์ที่ดูซับซ้อนหลายชนิด ช่างเป็นภาพที่มีเสน่ห์ราวกับเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่าเชฟ

    ได้ยินว่าเพิ่งฝึกทำได้ไม่ถึงสามเดือน

    การจะคุ้นเคยกับอาหารโมเลกูลาร์ระดับนั้นได้ในระยะเวลาแค่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้สิ่งที่มินจุนทำจริงๆ จะมีแค่การจำแนกวัตถุดิบแต่ละชนิดว่าต้องปรุงด้วยกรรมวิธีไหนและสั่งงานเชฟเท่านั้นก็ตาม แต่แค่นั้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ถึงสามเดือน

    “เขาดูฉลาดมากเลย”

    “ได้ยินว่าได้เรียนมหาวิทยาลัยด้วยนี่ ก็ต้องฉลาดอยู่แล้ว”

    “ถ้าฉันได้เรียนมหาวิทยาลัยบ้างจะฉลาดแบบนั้นมั้ยนะ ทำเรื่องที่มันซับซ้อนแบบนั้นแต่ไม่ผิดพลาดสักครั้ง เขาทำได้ยังไงกัน”

    สิ่งที่จะช่วยลดความผิดพลาดในครัวได้โดยปกติก็จะเป็นความชำนาญหรือไม่ก็สมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง มินจุนน่าจะเป็นแบบหลัง เพราะประสบการณ์แค่ไม่กี่เดือนของเขาคงไม่สามารถทำอาหารโมเลกูลาร์ให้ชำนาญได้ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะก็ตาม เดโบร่าห์ถอนหายใจแล้วพึมพำราวกับอิจฉา

    “ไม่ว่าเรื่องอะไร หากจะทำให้เก่งก่อนอื่นคงต้องฉลาดก่อนสินะ ความแตกต่างระหว่างคนหัวดีกับคนหัวไม่ดีก็มีมากอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”

    “อย่าห่วงไปเลย ไม่มีใครมาว่าเชฟหนึ่งดาวว่าหัวไม่ดีหรอก”

    “ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าฉันหัวไม่ดี”

    เดฟไม่สนใจเสียงบ่นของเดโบร่าห์ เขากำลังเพลิดเพลินกับกลิ่นฟัวกราส์ ความจริงรสชาติของฟัวกราส์คล้ายกับก้อนน้ำมันเค็มๆ โจทย์อยู่ที่จะนำมากินคู่กับวัตถุดิบอะไร และคำตอบของจานนี้ก็คือซุปข้นที่ทำเป็นครีมกับหน่อไม้ฝรั่งย่าง

    “การเจอกันของผัก อาหารทะเล และเนื้อสัตว์…”

    “ผักยังไม่เท่าไหร่ ปกติไม่ค่อยเอาอาหารทะเลกับเนื้อสัตว์มาใช้รวมกัน แต่ก็ทำออกมาได้ดีนะ”

    “เป็นการจับคู่ที่เดายาก เชฟส่วนใหญ่มักจับคู่วัตถุดิบที่คนส่วนใหญ่รับได้”

    เดฟบ่นเสียงเศร้าๆ ร้านของเขาได้สามดาวก็ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกอย่างมาครอบครอง กลับเป็นการเริ่มต้นของความขัดแย้งที่แท้จริง ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาประเมินการให้ดาวมิชลินครั้งใหม่เขาจะตื่นเต้นตลอดเวลา ถ้าหากโดนลดดาวคงจะผิดหวังมากจนไม่สามารถบรรยายได้ มีให้เห็นบ่อยๆ ว่าลูกค้าที่เพิ่งชื่นชมเราไปเมื่อวาน พอรู้ว่าปีนี้ได้สองดาวก็พูดจาเหน็บแนมทำนองว่า ‘อืม พอจะรู้แล้วว่าทำไมถึงได้โดนลดดาว’เดโบร่าห์ไม่ได้พูดอะไรกับเดฟ ใจจริงก็อยากจะถามว่าเชฟสามดาวต้องทำตัวเหมือนเป็นพระเอกหนังเศร้าต่อหน้าเชฟหนึ่งดาวแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ความกังวลใจของคนเราไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้

    จานต่อไปที่ยกมาเสิร์ฟก็คือพาสต้า ที่สนุกก็คือพาสต้าจานนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว สปาเกตตี้ของเดโบร่าห์ถูกม้วนมาในตะเกียบ บนสปาเกตตี้มีปลากะพงที่นำไปนึ่งแล้วเอาส่วนหนังไปทอด มัดไว้ด้วยต้นหอม ส่วนซอสเป็นพูเรน้ำซุปปลากะพง ส่วนฟูซิลลีของเดฟเสิร์ฟมาในจานที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าลูกบาส แต่อาหารกลับมีขนาดเล็กเท่ากำปั้น อาร์ติโชกที่ถูกดึงออกมาทีละชั้นม้วนอยู่ตามเส้นฟูซิลลี ข้างๆ มีพูเรมะกอกโรยอยู่ ไม่รู้ว่าใช้ตกแต่งเฉยๆ รึเปล่า อาหารจานแรกที่เป็นอาหารแบบธรรมดา ขณะที่ต่างคนต่างตักเข้าปากทั้งสองก็รู้ได้ทันที เดฟถึงกับร้องออกมาแล้วพูดว่า

    “แอนเดอร์สันก็เก่งเหมือนกันนะ”

    “นั่นสิ มีฝีมือในการทำอาหารดีมากเลย”

    พาสต้าเป็นอาหารที่จะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับฝีมือของเชฟที่ทำมากกว่าสูตรจากหัวหน้าเชฟ และพาสต้าของแอนเดอร์สันก็ไม่มีที่ติเลย ในอาหารของเขามีทักษะของผู้เชี่ยวชาญอยู่ ความเหนียวของเส้นและความเค็มของน้ำต้มเส้นที่ซึมเข้าไปในตัวเส้น วัตถุดิบที่ใส่เข้าไปก็เข้ากันได้สมบูรณ์แบบ ไม่มีส่วนไหนโอเวอร์คุกเลย

    “รู้สึกว่าถ้าไม่มีมินจุน คนนี้ก็น่าจะมาแรงมากเลยนะ”

    “ดูเหมือนหนุ่มสาวสมัยนี้จะมีแต่อัจฉริยะทั้งนั้นเลย เมื่อก่อนเราแข่งกับคนที่อายุเท่ากันหรือว่าแก่กว่าเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ต้องมาแข่งกับคนที่เด็กกว่า เฮ้อ ลำบากจัง”

    ต่อมาเป็นเชอร์เบทสำหรับล้างปากและตามด้วยการเสิร์ฟจานหลักทันที จานหลักก็ไม่มีที่ติเหมือนกัน แก้มวัวตุ๋นคงรสสัมผัสที่เหนียวหนึบของเจลาตินเอาไว้ได้ดี กำจัดกลิ่นสาบที่เป็นลักษณะเฉพาะของวัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จานที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือน่องเป็ดกงฟีที่เดโบร่าห์สั่ง สัมผัสนุ่มเหมือนกับไม่ใช่เนื้อสัตว์ กระตุ้นปากและลิ้น เหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวเด้งๆ ข้างกันนั้นมีซอสขุ่นๆ ที่ทำจากซีอิ๊วช่วยเพิ่มความกลมกล่อมในแบบที่ไม่ทำลายรสชาติของเป็ด เดโบร่าห์ที่หลับตาลงเป็นเวลานานเพื่อซึมซับรสชาติค่อยๆ พูดออกมาว่า

    “มันก็เป็นจานหลักอยู่แหละนะ แต่การกงฟีในอีกแง่มันก็คือการซูวี มินจุนเป็นคนทำรึเปล่านะ หรือจาเวียร์ทำ?”

    “ต้องมาคิดเรื่องนั้นตอนนี้ด้วยเหรอ ไม่ว่าจะเป็นใครทำก็สุดยอดมากทั้งนั้น เป็นจานที่ดีจริงๆ”

    ไม่นานของหวานที่สั่งกันไปก็มาวางตรงหน้าพวกเขา อย่างแรกที่เสิร์ฟคือทาร์ตที่มีแอปเปิ้ลเชื่อมวางอยู่ด้านบน และบนนั้นมีไอศกรีมไนโตรเจนวางอยู่อีกที ข้างๆ มีสตรอเบอรี่ทิรามิสุ

    “รู้สึกตั้งแต่กินขนมปังก่อนอาหารแล้วว่าปาติซิเย่ฝีมือไม่ใช่เล่นเลย ระดับนี้น่าจะมีแต่คนอยากได้ตัว ทำไมถึงได้ทำร้านเบเกอรี่คนเดียวมาตลอดจนอาจารย์เรเชลไปพามาได้นะ”

    “คงปฏิเสธไปมั้ง และข้อเสนอของอาจารย์เรเชลก็คงจะมีความหมายบ้างนั่นแหละ ทั้งกับแจ็คพ่อของเธอและตัวเธอเอง”

    ตอนที่เดโบร่าห์กำลังพยักหน้า สายตาของเธอก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องเธออยู่ที่โต๊ะข้างๆ พูดให้ชัดคงต้องบอกว่าสายตาคู่นั้นกำลังมองของหวานอยู่ เดโบร่าห์ยิ้มกว้างและพูดว่า

    “กินมั้ย อร่อยนะ”

    “แม่หนูไม่ให้รบกวนพวกผู้ใหญ่…”

    “ไม่ใช่การรบกวนหรอก เอ้านี่”

    เดโบร่าห์ใช้ส้อมตักสตรอเบอรี่ทิรามิสุแล้วยื่นให้ เอลล่าเอามือม้วนผมเหมือนลังเล ไม่นานก็เอามือทั้งสองประสานกันแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป เอลล่ากินไปคำหนึ่งก็ยิ้มออกมา

    “อร่อยใช่มั้ยล่ะ”

    “ค่ะ อร่อยมากๆ เลย!นี่แม่ของหนูเป็นคนทำเหรอคะ”

    “ใช่แล้ว แม่ของหนูเก่งมากเลยนะ”

    เดโบร่าห์ยิ้ม เธอไม่ได้พูดไปตามมารยาท สิ่งที่เรเชลมีอยู่ตอนนี้คือดรีมทีม เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อนแล้วถือว่ามีความโดดเด่นมาก เป็นทีมที่สามารถทำทุกอย่างที่ต้องการให้สำเร็จได้ ตอนนั้นเองเรเชลก็ออกมาจากในครัว เธอเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากแล้วยิ้ม

    “ไม่รู้ว่าจะเป็นการใช้สองมือที่หยุดทำงานไปมาทรมานลิ้นของพวกเธอหรือเปล่า เป็นไงบ้าง หวังว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกัน มันเป็นแบบนั้นรึเปล่า”

    นั่นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ได้เพลิดเพลินกับอาหารในแบบที่เป็นอาหารจริงๆ เป็นเวลาแห่งความสุขและการเรียนรู้ ความสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกมีเป้าหมายมากกว่ารู้สึกหมดแรง ในขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้ตระหนักรู้ด้วยว่าพวกเขาต้องวิ่งตามอะไร

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook