“มันก็จริง” คราวนี้นักประเมินหญิงสูงอายุพูดขึ้นบ้าง “ลำพังแค่ลอกเลียนแบบภาพ ‘โมนาลิซา’ ขึ้นมาอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่นักลอกเลียนแบบส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้ายุ่งด้วยเพราะมันเป็นภาพดังเกินเหตุ และใครๆ ก็รู้ว่าของจริงอยู่กับลูฟว์”
“ถูกต้องครับ แต่กรณีที่ ‘โมนาลิซา’ ถูกยืมจากลูฟว์ไปจัดแสดงที่ต่างประเทศล่ะ…คุณคงเดาออกว่ามันถือเป็นโอกาสทองเพียงหนึ่งเดียวในการแอบสับเปลี่ยน ‘โมนาลิซา’ ซึ่งตามปกติไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แน่นอนว่าเราเตรียมระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีที่สุด ตำรวจญี่ปุ่นก็ให้ความร่วมมือเต็มที่เช่นกัน แต่ยิ่งผู้เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นเท่าไรก็ยิ่งปล่อยให้ภาพวาดตกอยู่ในความเสี่ยงเท่านั้น เราไม่อยากตั้งข้อสงสัยว่ามีหนอนบ่อนไส้ แต่ก็เป็นไปได้ว่านักวาดภาพปลอมหรือพรรคพวกอาจแฝงตัวเข้ามาในทีมงาน ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงวางแผนจะตรวจประเมิน ‘โมนาลิซา’ อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงอยู่ที่ญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่นั้น เราจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีสายตาแหลมคมพอจะตัดสินภาพ ‘โมนาลิซา’ ว่าเป็นของจริงหรือปลอมได้ทันทีมาประจำการอยู่รอบๆ รวมทั้งอยากให้เจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นจำนวนเล็กน้อยซึ่งได้รับเลือกช่วยพัฒนาฝีมือให้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเราด้วยครับ”
ห้องโถงไม่มีเสียงเซ็งแซ่อีกแล้ว
เสียงอันสุขุมของโบวิเยดังก้องห้องอันเงียบกริบ “ผู้มีอำนาจในการตัดสินความเป็นของแท้ของ ‘โมนาลิซา’ ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ปัจจุบันก็คือภัณฑารักษ์ชื่อริชาล บูเลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผม…เขาบอกกับผมว่าพื้นฐานสำคัญที่สุดในการประเมินคือการใช้หัวใจสัมผัสและเข้าถึงเสน่ห์อันยากจะต้านทานของภาพวาดนั้นๆ สัมผัสทางอารมณ์คือปัจจัยแตกต่างระหว่างของจริงและปลอม องค์ความรู้ไหนๆ ก็สู้พลังสัญชาตญาณไม่ได้ เขาให้ความเห็นอย่างนั้นครับ บอกตามตรงว่าโดยส่วนตัวแล้วผมให้ความสำคัญกับข้อมูลและผลวิเคราะห์มากกว่าความรู้สึก แต่จะนำภาพวาดมาวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ชุดใหญ่ซ้ำไปซ้ำมาระหว่างการจัดแสดงก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงมองหาบุคลากรผู้มีพรสวรรค์จะแยกของจริงของปลอมได้ด้วยการมองปราดเดียว อย่างเช่นทุกท่านนั่นเอง”
ความเงียบกริบยังคงปกคลุมทั้งห้องประชุม ชายกลางคนผมบางกล่าวกับโบวิเย “ผมเข้าใจคำอธิบายของคุณแล้วครับ ตัวผมเองทำงานเป็นนักประเมินงานศิลป์มานานปี มีโอกาสได้สัมผัสภาพวาดตะวันตกมาก็มาก…แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญผลงานของดาวินชีเท่าไร ถึงตอนไปชมภาพ ‘โมนาลิซา’ จะเฉลียวใจว่านั่นอาจเป็นภาพปลอมแต่ก็ไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม ดังนั้นไอ้การที่ทางคุณจะคาดหวังให้พัฒนาความสามารถไปอยู่ระดับเดียวกับภัณฑารักษ์ทุกท่านเนี่ย…”
“เรื่องนั้นเราเข้าใจดีครับ ขออภัยที่ต้องบอกว่าทุกท่านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวินชีจึงช่วยไม่ได้ที่จะมีความรู้ไม่มากพอ อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ฝึกฝนเพิ่มเติมกันได้ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องมีก่อนคือพรสวรรค์ครับ เราจึงตั้งใจจะเชิญทุกท่านไปเยือนปารีสในวันอังคารของอีกสองสัปดาห์หน้า เพื่อเข้ารับการทดสอบทักษะการประเมินภาพจริงภาพปลอมของ ‘โมนาลิซา’ที่ลูฟว์ในวันหยุดของพิพิธภัณฑ์ครับ”
ทั้งห้องส่งเสียงฮือฮาทันทีอีกครั้ง
โบวิเยยกมือปรามให้เงียบ “ทางเราจะออกเงินค่าเดินทางทั้งหมดเองครับ รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักโรงแรมหนึ่งคืนที่ปารีสด้วย การทดสอบครั้งนี้ได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลญี่ปุ่นและฝรั่งเศสแล้ว เป้าหมายสูงสุดคือการเฟ้นหาบุคลากรชาวญี่ปุ่นที่จะมารับหน้าที่ ‘ภัณฑารักษ์เฉพาะกิจ’ ซึ่งทำตามเงื่อนไขของเราได้ โดยผู้ผ่านการทดสอบเมื่อกลับประเทศญี่ปุ่นแล้วก็จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมหลักสูตรพิเศษเพื่อการประเมิน ‘โมนาลิซา’ ริชาล บูเลจะบินมาญี่ปุ่นเพื่อถ่ายทอดทักษะสำคัญนั้นให้โดยตรง ผู้ถูกเลือกจะได้ใช้เวลาฝึกฝนเต็มที่และเตรียมความพร้อมจนกระทั่งถึงวันเปิดนิทรรศการ ‘โมนาลิซา’ ครับ”
ความเงียบแล่นเข้ามาชั่วครู่จนกระทั่งนักประเมินชาวญี่ปุ่นสูงอายุคนหนึ่งเอ่ยทำลายความเงียบ “แล้วถ้าได้รับเลือกเป็นภัณฑารักษ์เฉพาะกิจนั่นแล้วจะเป็นยังไง…”
“ชื่อของคุณจะปรากฏไปทั่วโลกในฐานะหนึ่งในทีมงานของพวกเรา มันน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทุกท่านที่ทำงานเป็นนักประเมินอยู่นะครับ ตลอดช่วงเวลาปฏิบัติหน้าที่ยังจะได้รับค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งด้วย แน่นอนว่าเงื่อนไขสำคัญขณะนี้คือต้องเจียดเวลาไปเข้ารับการทดสอบที่ปารีสตามวันเวลาที่เรากำหนดให้ได้ก่อน”
นักประเมินคนหนึ่งลุกขึ้น อีกหลายคนลุกตามแล้วเดินไปจากห้องประชุม
ทว่าเหล่านักประเมินส่วนใหญ่ยังคงนั่งต่อ ดูเหมือนทุกคนจะตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่โดยไม่มีลังเลอีกแล้ว
ฝ่ายริโกะสับสนอย่างหนัก ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร แน่นอนระดับความสามารถของเธอคงยังไม่เข้าขั้น แต่อีกใจหนึ่งกลับรั้งให้นั่งอยู่ที่นี่ต่อ
เธออาจเป็นแค่นักประเมินปลายแถว แต่ในเมื่อได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยกว่าคนนี้แล้วก็อยากลองท้าทาย…
โปรดติดตามตอนต่อไปในเล่ม “แฟ้มคดีพิศวงของนักประเมินอัจฉริยะ Q 9” เร็วๆ นี้!!