• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทที่ 2

    “ทำไมเหรอครับ เขามีท่าทางอะไรที่น่าสงสัยเหรอ” จู่ๆ ผมก็นึกถึงคืนที่มาช่วยฟู่เสี่ยวย้ายของเข้าที่พักแล้วเจอกับคนที่มีแผลบนหน้า

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์ส่ายศีรษะ “คนที่อยู่ชั้นนั้นไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ หรอก แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเห็นว่าบนหน้าเขามีรอยช้ำๆ น่ะ น่าจะไปทะเลาะกับใครมา แถมแผลก็ไม่ใช่เล็กๆ ไม่เข้าใจว่าทะเลาะอะไรกันรุนแรงขนาดนั้น อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว คงไปมีเรื่องกับพวกไม่ธรรมดา”

    แสดงว่าคนที่เจอในคืนวันนั้นเป็นผู้เช่าที่อยู่ห้อง 304 จริงๆ ผมพยักหน้าแล้วถามต่อ “แล้วห้อง 306 ล่ะ”

    “ยัยอ้วนที่อยู่ห้อง 306 เป็นเพื่อนฉันเอง ส่วนผู้ชายก็เป็นสามีของเพื่อนฉันนี่แหละ”

    “เพื่อนคุณเหรอ รู้จักกันได้ยังไง” ผมสงสัย

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์ขมวดคิ้ว “เป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของฉัน ที่จริงความสัมพันธ์ของเราไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ใช่ว่าเธอลำบากขนาดนั้นฉันคงไม่ให้อยู่ที่อพาร์ตเมนต์นี่ ฉันรู้ว่าคุณอยากถามอะไรต่อ เมื่อก่อนฉันเคยทำงานอยู่โรงพยาบาล แต่ลาออกมาสิบกว่าปีแล้ว”

    ผมยิ้ม “คุณทำงานอะไรในโรงพยาบาลครับ แล้วเพื่อนของคุณที่อยู่ห้อง 306 เคยทำอะไรที่นั่น” ถ้าเจ้าของอพาร์ตเมนต์เคยทำงานที่ต้องเจอศพเป็นประจำก็ไม่แปลกที่เธอจะควบคุมสติได้เป็นอย่างดี

    “พวกเราเคยเป็นพยาบาล แต่เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับคดีด้วยเหรอ” เจ้าของอพาร์ตเมนต์ท่าทางไม่ค่อยจะอยากพูดเกี่ยวกับเรื่องงานที่นั่นสักเท่าไหร่

    “อ้อ แค่ถามดูน่ะครับ” ผมลังเลก่อนจะถามเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคดีสักเท่าไหร่ “ผู้ชายห้อง 306 ชอบทำร้ายร่างกายภรรยาของเขาใช่ไหมครับ”

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์ถอนหายใจ น้ำเสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย “ผู้ชายคนนั้นเป็นช่างไฟ เงินเดือนก็ไม่เยอะ แถมชอบเล่นการพนัน พอเล่นแพ้ก็ไปซื้อเหล้ามากิน กินจนเมาก็ตีแฟน ทั้งคนตีคนถูกตีชินกันหมด พวกคุณไม่ต้องไปถามให้เสียเวลาหรอก เขาไม่บอกอะไรแน่ แถมเพื่อนฉันคนนี้ก็สติไม่ค่อยดี” เธอพูดด้วยท่าทีดูถูกดูแคลน เหมือนอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อนของเธอเลย

    “แล้วพวกเขาไม่มีลูกกันเหรอ”

    “ไม่มีหรอก ยัยนั่นมีลูกไม่ได้” เจ้าของอพาร์ตเมนต์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    ผมปิดแฟ้มรายละเอียดของผู้เช่าแล้วโบกไปมาให้เจ้าของอพาร์ตเมนต์เห็น “ผมขอยืมแฟ้มก่อนนะครับ”

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์พยักหน้า “ได้ เอาไปสิ ค่อยเอามาคืนตอนไหนก็ได้ มีอะไรอยากถามฉันอีกไหม”

    ผมลุกขึ้นยืน “ตอนนี้ยังไม่มีครับ ถ้ามีเดี๋ยวผมจะกลับมาอีกรอบ ขอให้คุณให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”

    เธอถาม “พวกคุณจะเอาศพบนตึกนั่นไปเมื่อไหร่”

    ผมตอบ “เดี๋ยวฝ่ายนิติเวชมาแล้วถึงจะเอาศพออกไปได้ ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะพยายามไม่ให้กิจการของคุณได้รับผลกระทบ”

    ผมบอกเจ้าของอพาร์ตเมนต์อีกว่าอย่าเพิ่งออกจากพื้นที่ในช่วงนี้เพราะอาจต้องมาสอบปากคำกันอีก จากนั้นจึงขึ้นไปหาผู้กำกับซ่งที่ชั้นบน

    จนถึงตอนนี้ฝ่ายนิติเวชก็ยังไม่มา ส่วนผู้กำกับซ่งยังคงลุกๆ นั่งๆ อยู่รอบๆ ศพเพื่อหาร่องรอยที่อาจมีประโยชน์ต่อคดี พอถึงชั้นสามผมก็เล่าทุกอย่างตามคำให้การของเจ้าของอพาร์ตเมนต์ ผู้กำกับซ่งค่อนข้างสนใจเรื่องของผู้เช่าห้อง 304 เขากดเบอร์โทรศัพท์ตามที่เขียนไว้ในแฟ้มรายละเอียดผู้เช่าที่ผมยืมมาแล้วกดโทรออก แต่ไม่มีคนรับสาย โทรซ้ำอยู่หลายรอบแต่ก็ไร้ผล ผู้กำกับซ่งขมวดคิ้ว เริ่มคาดเดาว่าเป็นไปได้มากที่ศพตรงหน้าจะเป็นผู้เช่าห้อง 304 ในที่สุดผู้กำกับซ่งก็ล้มเลิกที่จะโทรต่อ แล้วคืนแฟ้มในมือให้ผม เขาวิเคราะห์คดีตามความเป็นไปได้เสมอ ผู้กำกับซ่งบอกว่าผู้ตายน่าจะถูกตัดศีรษะก่อนถูกเคลื่อนย้ายมาไว้บนทางเดิน เพราะสภาพที่เกิดเหตุสะอาดเกินไป หากผู้ตายถูกตัดศีรษะตรงนี้เลือดจะต้องสาดไปรอบๆ แน่นอน แต่ที่นี่มีเพียงบริเวณศีรษะของศพเท่านั้นที่มีเลือด เขาอธิบายขณะส่องไฟฉายไปรอบๆ ผมรู้สึกอยากจะอ้วกเมื่อเห็นแมลงวันหัวเขียวบินอยู่บริเวณกองเลือดดำๆ บนพื้น

    ผู้กำกับซ่งปัดแมลงวันหัวเขียวที่กำลังบินออกก่อนจะหันมามองผม

    “เพื่อสืบหาสถานที่เกิดเหตุที่แท้จริง ฉันได้บอกฝ่ายพิสูจน์หลักฐานให้เอาแบล็กไลต์มาฉายแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมากับฝ่ายนิติเวช”

    หากใช้แบล็กไลต์ฉายไปในสถานที่ที่เคยมีเลือด ต่อให้เช็ดแล้วก็ยังเห็นร่องรอยคราบเลือดได้ ดังนั้นตำแหน่งที่มีคราบเลือดจะต้องเป็นที่เกิดเหตุแน่นอน และมันจะต้องอยู่ในตึกนี้

    ในขณะที่กำลังสอบปากคำคนอื่นอยู่ คู่สามีภรรยาเจ้าของห้อง 306 ก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้อง เสี่ยวหลี่ เพื่อนร่วมงานของผมจึงบันทึกคำให้การของพวกเขาอยู่ในห้องนั้น หญิงอ้วนที่ทำผมตกใจในคืนนั้นดูสงบเหมือนคนปกติ แต่ฝ่ายชายกลับดูตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาขาวซีดและมักจะมองไปด้านนอกเสมอ คู่รักห้อง 301 ขึ้นมาบนตึกเรียบร้อยแล้วและกำลังถูกสอบปากคำอยู่ภายในห้องของตน ขณะนั้นเพื่อนร่วมงานของผมก็มาบอกว่าฟู่เสี่ยวมาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ประตูทางเข้า จะให้พาขึ้นมาหรือไม่ ดีที่ผู้กำกับซ่งคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี ผมและผู้กำกับซ่งจึงลงไปพร้อมกัน

    ผมยาวๆ ของฟู่เสี่ยวถูกที่คาดผมเสยขึ้นไป บริเวณหน้าผากมีผ้าสีขาวปิดอยู่ เมื่อเขาเห็นผมก็โบกมือเรียก

    “ไอ้ท่อนไม้ ฉันอยู่นี่”

    ผมรีบโบกมือให้เขาและพาตัวเข้ามาในตึก แนะนำเขาให้ผู้กำกับซ่ง จากนั้นจึงหลบฉากออกมาด้านข้าง ผู้กำกับซ่งจับมือทักทายฟู่เสี่ยว

    “คุณบอกผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนที่พบศพได้ไหม”

    ฟู่เสี่ยวพยักหน้า “เมื่อคืนผมไม่ได้กลับห้องเพราะออกไปร้องเพลงที่ร้านคาราโอเกะกับเพื่อนจนถึงเช้า พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าไฟชั้นสามมันเสีย ปกติตรงทางเดินก็มืดอยู่แล้ว พอไม่มีไฟก็มองอะไรแทบไม่เห็นเลย ผมเลยไม่ได้สังเกตว่าตรงนั้นมีศพ พอเปิดประตูห้องแล้วไฟส่องออกมาเท่านั้นแหละ เห็นเหมือนมีคนนอนอยู่ตรงนั้นเลยเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นศพ ทำเอาผมตกใจแทบตาย”

    “แล้วไงต่อ จากนั้นคุณก็ลงไปหาเจ้าของอพาร์ตเมนต์เลยเหรอ หรือทำอะไรก่อนหน้านั้นอีก แล้วตอนที่คุณพบศพยังมีคนอื่นอยู่แถวนั้นไหม” ผู้กำกับซ่งถามต่อ

    “ไม่มีใครนะ ตอนนั้นก็เพิ่งเจ็ดโมงกว่าๆ คงยังนอนกันอยู่ ผมตกใจแทบตาย ขาก็ไม่มีแรง เดินแทบไม่ไหว ล้มอยู่แถวนั้นสักพักแล้วลงไปข้างล่าง ปรากฏว่าตอนลงบันไดก็ดันกลิ้งไปแทนซะงั้น พวกคุณดูสิ ที่หัวของผมยังมีรอยเย็บตั้งสองเข็มแน่ะ” ฟู่เสี่ยวชี้ไปตรงผ้าสีขาวที่แปะอยู่บนหน้าผาก “พวกคุณเจออะไรบ้างหรือเปล่า รู้ไหมว่าคนตายเป็นใคร”

    “นี่เป็นเรื่องของตำรวจ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคดีไม่ได้” ผู้กำกับซ่งยิ้มแล้วหันมาพูดกับผม “นายบันทึกคำให้การให้หน่อยนะ เวลาบันทึกก็ต้องคำนึงถึงความจริงเป็นหลัก ตอนนี้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานกับฝ่ายนิติเวชมาถึงกันแล้ว เดี๋ยวฉันไปทักทายก่อน”

    ผมมองไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง รถจากฝ่ายนิติเวชเข้ามาจอดที่ประตูทางเข้าเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่พูดอะไรมากแล้วพาฟู่เสี่ยวขึ้นไปยังห้องของเขาเพื่อจดบันทึกคำให้การ เมื่อไม่มีใครอื่นนอกจากผมก็ทำให้ฟู่เสี่ยวเริ่มเปลี่ยนสีหน้า หลังจากที่เข้ามาในห้อง ไม่ทันที่จะเริ่มการสอบปากคำ ท่าทางของเขาก็ทำให้ผมต้องเปลี่ยนคำถามใหม่

    “มีคนตายแท้ๆ ทำไมแกถึงได้ดูตื่นเต้นขนาดนี้ แล้วเมื่อคืนแกไปเที่ยวกับใครมา”

    ฟู่เสี่ยวยกแก้วน้ำในมือขึ้นดื่มก่อนตอบ “ผู้จัดการคนก่อนที่ไปรับฉันที่งานเลี้ยงรุ่นวันนั้นไง เมื่อคืนเราไปฉลองกัน แกลืมแล้วเหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉันน่ะ”

    “ไม่ต้องมาย้อนถาม ฉันกำลังถามแกอยู่นะเว้ย พวกแกไปกันแค่สองคน?” ผมถาม

    “ก็ใช่น่ะสิ ไปกันแค่สองคนเอง กินเหล้ากันทั้งคืน อ้อ นี่ใบเสร็จ” ฟู่เสี่ยวหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบใบเสร็จมาให้ผมดู

    “อืม ฉันก็แค่ถามเฉยๆ” ผมรับมาดูรายละเอียด เวลาที่ออกใบเสร็จคือเช้าวันนี้ เวลา 6.26 นาฬิกา ร้านนี้ผมก็รู้จัก หากดูจากระยะทางก็ไม่น่ามีปัญหา

    ฟู่เสี่ยวปรับเสียงแผ่ว “แกถามเฉยๆ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนทำนะเว้ย”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook