ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 11 บทที่ 3
…
กล่าวถึงตรงนี้หลวงจีนชราก็นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนเงยหน้ากล่าวกับหนิงเชวียต่อไปว่า
“ด้วยอิทธิพลของพรรคมารในขณะนั้น คิดว่าหากพวกมันระดมกำลังทั้งหมดเคลื่อนไหวในคราเดียวก็น่าจะเพียงพอให้เกิดการเปลี่ยนยุคสมัยการปกครองได้ แต่เป็นเพราะพวกมันมีความกริ่งเกรงในสถานศึกษาและสถานที่ที่เป็นปริศนาของนิกายอื่น จึงต้องเลือกใช้เล่ห์เพทุบายแทนการเข้าปะทะโดยตรง ในการเข่นฆ่าสังหารที่วัดลั่นเคอ ความจริงแล้วพรรคมารก็ต้องทนกับความเจ็บปวดสูญเสียประหนึ่งถูกตัดแขนทิ้งเช่นกัน เพราะต้องยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของหัวหน้าหน่วยพิพากษาที่แฝงตัวเป็นไส้ศึกอยู่ในอาศรมเทพมานานหลายสิบปี พอเป็นเช่นนี้จึงไม่มีใครไม่หลงเชื่อ”
หนิงเชวียนิ่วหน้าถาม
“การเข่นฆ่าที่วัดลั่นเคอมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสถานศึกษาและอาจารย์อาของข้า”
หลวงจีนชราถอนใจยาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเวทนา
“พรรคมารเปิดฉากเข่นฆ่าที่วัดลั่นเคอในเทศกาลอวี๋หลัน มองอย่างผิวเผินคือหมายเอาชีวิตผู้ฝึกฌานของสำนักเที่ยงธรรมทั้งหลาย แต่จริงๆ แล้วกลับมุ่งเป้าไปที่คณะทูตของแคว้นต้าถัง หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนแม่นยำก็คือ เป้าหมายในครั้งนั้นเป็นสตรีชาวถังที่น่าสงสารคนหนึ่งซึ่งรู้จักแต่การร่ายรำและเดินทางมากับคณะทูตของแคว้นต้าถัง เพราะพรรคมารต้องการยั่วยุให้คนฟั่นเฟือนแซ่เคอเดือดดาลจนเสียสติ สตรีนางนั้นจึงมิอาจไม่ตาย”
หัวใจหนิงเชวียกระตุกวูบ นึกเชื่อมโยงไปว่านางรำคนนั้นใช่มาจากคณะหงซิ่วเจาหรือไม่ เพราะศิษย์พี่รองเคยบอกว่าอาจารย์อากับหัวหน้าเจี่ยนเคยรู้จักกันมาก่อน ทว่าตอนนี้หัวหน้าเจี่ยนก็ยังอยู่ดีนี่นา นานๆ พบกันทีก็ยังดึงหูมันสั่งสอนอยู่เป็นนานสองนานโดยไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นตกลงเป็นใครกันแน่ที่ถูกสังหารในสมัยนั้น
ในเมื่อพรรคมารคิดใช้แผนร้ายโดยไม่สนว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปเท่าไหร่ ก็ย่อมต้องสืบรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าควรฆ่าผู้ใดจึงจะทำให้อาจารย์อาเสียสติจนถึงขั้นบุกขึ้นเขาเถาซานโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน หากมันกลับไปเหล่าปี่ไจแล้วพบว่าซังซังนอนตายจมกองเลือดโดยหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่วังหลวง มันย่อมต้องถือดาบสะพายธนูบุกเข้าวังไปที่ห้องทรงพระอักษร ฉีกภาพมาลีบานทิ้ง ก่อนสับร่างของจักรพรรดิต้าถังออกเป็นสามร้อยหกสิบห้าชิ้นอย่างไม่ลังเล…
“แต่ไฉนอาจารย์อาจึงถือกระบี่มาบุกถล่มสำนักพรรคมารแทนที่จะบุกเขาเถาซานเล่า”
หนิงเชวียตั้งข้อสังเกตก่อนถามต่อ
“แผนของพรรคมารมีช่องโหว่ตรงที่ใดรึ”
หลวงจีนชราเงียบไปนาน จากนั้นก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มยับย่นดูแล้วขัดตา แฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลายหลาก มีทั้งสะเทือนใจ ขมขื่นและทระนงถือดี
“แผนของพรรคมารไม่ได้มีช่องโหว่อะไร ตอนนั้นแม้คนทั้งแผ่นดินไม่อยากเชื่อว่าหน่วยพิพากษาอาศรมเทพจะสังหารคนอย่างเหี้ยมโหดจนเลือดนองวัด แต่ในเมื่อมหาเถระอาวุโสของวัดลั่นเคอที่เร้นกายบำเพ็ญศีลอยู่ด้านหลังเขาหว่าซานออกจากฌานสมาธิมาชี้ตัวว่าฆาตกรเหล่านั้นล้วนมาจากซีหลิง ทุกคนก็เลยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก”
หลวงจีนชราพูดถึงตรงนี้ก็หยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ
“ยกเว้นเคอเฮ่าหราน”
หนิงเชวียขมวดคิ้วถาม
“เพราะเหตุใด”
หลวงจีนชราตอบ
“คนอย่างเคอเฮ่าหรานจะถูกหลอกง่ายๆ ได้อย่างไร”
หนิงเชวียส่ายหน้า
“นี่ไม่อาจนับเป็นเหตุผลได้”
หลวงจีนชราทอดถอนใจ
“ตอนนั้นข้าก็เคยถามมันเหมือนที่เจ้าถาม”
หนิงเชวียจ้องหน้าตั้งใจฟังคำตอบ
หลวงจีนชรายิ้มเล็กน้อยขณะกล่าวว่า
“มันก็ตอบข้าในห้องนี้เหมือนที่ข้าบอกนั่นแหละ ว่าผู้แซ่เคอมีหรือจะถูกหลอกได้ง่ายๆ”
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว
“ต่อจากนั้นเล่า”
หนิงเชวียถาม คิดในใจว่าเรื่องเล่าแต่ละเรื่องสมควรมี ‘ต่อจากนั้น…’ และก็ ‘สุดท้าย…’
หลวงจีนชราทวนคำถามอย่างประหลาดใจ
“ต่อจากนั้นน่ะรึ…หรือว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้”
หนิงเชวียตอบ
“คนเล่าเรื่องเป็นคนละคน เนื้อหาของเรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงได้”
“เรื่องนี้จบอย่างรวบรัดง่ายดายยิ่ง”
เสียงของหลวงจีนชราฟังดูอ่อนโรยมากกว่าเดิม
“ในเมื่อคนฟั่นเฟือนแซ่เคอไม่หลงกล มันจึงถือกระบี่บุกมาที่นี่ ประมุขพรรคมารในสมัยนั้นมีความย่ามใจว่าในพรรคมียอดผู้ฝึกฌานมากมาย จึงมิได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด คิดแต่เพียงว่าหากเจ้ากล้าเข้ามาก็อย่าหวังว่าจะได้รอดกลับไป แต่คนฟั่นเฟือนแซ่เคอย่อมไม่ยอมถูกพวกมันฆ่า ดังนั้นจึงฆ่าพวกมันตายเรียบ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”
ไม่ยอมถูกพวกมันฆ่า ดังนั้นจึงฆ่าพวกมันตายเรียบ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
เรื่องราวสั้นกระชับอย่างที่มันออกตัวไว้จริงๆ แต่นี่กลับเป็นอดีตที่เคยสะท้านฟ้าสะเทือนดินอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจางหายไปกับกาลเวลา หลายสิบปีผ่านไปจึงเหลือเพียงหลวงจีนชราผอมแห้งเหมือนปีศาจรูปนี้ กับโครงกระดูกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนซึ่งกองอยู่ทั่ววิหาร ที่สามารถเป็นประจักษ์พยานของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้
หนิงเชวียมองนัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าของหลวงจีนชรา ถามว่า
“ไฉนท่านถึงอยากชดใช้ความผิด เรื่องนี้ฟังแล้วไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับท่าน”
หลวงจีนชรายกแขนแห้งลีบขึ้นประกบนิ้วมือเป็นท่ามุทราดอกบัว แม้ข้อนิ้วใต้หนังแห้งกรังจะปูดโปนจนเห็นได้ชัด ดูน่ากลัวราวกับเป็นมือปีศาจที่ยื่นออกมาจากนรกขุมโลกันตร์ ทว่าท่ามุทรานั้นกลับปลดปล่อยกลิ่นอายอบอุ่นที่ทำให้จิตใจคนเรานิ่งสงบออกมา
…
Related
Comments
