หมอหนุ่มแซ่ชุยพูดเหมือนไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น “ม้าที่ใช้เดินทางต่างล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แค่ฝนฟ้าคะนองทั่วไปไฉนถึงตื่นกลัวเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พวกมันตกใจจริง สารถีก็น่าจะควบคุมพวกมันได้ถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นใครเล่าจะกล้านั่งรถม้าของเขา”
สารถีที่ได้รับบาดเจ็บงึมงำออกมาสองสามคำ เหมือนคิดแก้ต่างให้กับตนเอง แต่เพราะตกจากรถม้าหัวแตกเลือดอาบ น้ำเสียงจึงอ่อนระโหยคลุมเครือ ชุยเหมี่ยวยิ้มพูด “พี่ชายท่านนี้ไม่ต้องร้อนรน ไม่มีใครตำหนิท่าน”
หลางส่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ร้อง ‘เฮอะ’ ประชดแรงๆ ออกมาคราหนึ่ง
ชุยเหมี่ยวพูด “ใช่แล้ว ขอแนะนำให้แม่นางเผยได้รู้จักก่อน ท่านนี้คือพ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลที่นี่ เขาแซ่หลาง ชื่อส่านเอ๋อร์ จะเรียกหลางส่านหรือส่านหลาง* ก็ได้ วันทั้งวันทำก็แต่แวบไปทางโน้นทีแวบไปทางนี้ที เหมือนชื่อไม่มีผิด”
เผยเสวียนจิ้งอดยิ้มมุมปากน้อยๆ ไม่ได้
ชุยเหมี่ยวพูดต่อ “โชคดีที่แม่นางไม่ได้ไปที่วัดเจิ้นกั๋ว ระยะนี้พวกอพยพหนีภัยสงครามจากไหวซีมีจำนวนมิใช่น้อย ที่นั่นผู้คนแออัดยัดเยียด หนำซ้ำยังไม่รับฆราวาสที่เป็นสตรี นอกเสียจากว่าแม่นางจะเป็นคนจากในวังหลวง”
“วังหลวง?”
“ข้าหมายถึงองค์หญิง องค์หญิงพระองค์ใหญ่อะไรทำนองนั้น หากคนที่ต้องการพำนักในอารามเป็นพวกนาง เจ้าอาวาสพวกนั้นคงรีบประจบประแจงกันแทบไม่ทัน” น้ำเสียงเหยียดหยันแฝงอยู่ในคำพูดของเขาอย่างเห็นได้ชัด
เผยเสวียนจิ้งคิดในใจ สีหน้าท่าทีอบอุ่นอ่อนโยนมีสัมมาคารวะของหมอหนุ่มแซ่ชุยผู้นี้คงเป็นไปตามความเคยชินของคนที่เลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอเท่านั้นกระมัง หากแต่ความจริงแล้วปากคอของเขากลับคมกริบบาดลึก ทุกถ้อยวาจาล้วนเฉียบคม ดูท่าในใจคงเคียดแค้นชิงชังสังคมอยุติธรรมอยู่มิใช่น้อย
หลางส่านเอ๋อร์ที่กำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดพูดแทรกขึ้นมา “แม่นาง ข้าใช่ว่าจงใจเจตนากลั่นแกล้งพวกท่าน แต่ข้าไม่กล้าให้พวกท่านเข้าพักจริงๆ! ลองดูสภาพรอบๆ ที่นี่ก่อน…”
ความจริงเผยเสวียนจิ้งรู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่นี่มีโลกมหัศจรรย์อีกใบซ่อนอยู่
ชั่วชีวิตนางนี่คือการเดินทางมาฉางอันครั้งแรก หนำซ้ำยังถูกม้าตื่นลากวิ่งไปทั่วจนไม่รู้ทิศไหนเป็นทิศไหน เมื่อครู่ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนอง พอนางมองเห็นเรือนพำนักหลังนี้ นางก็ไม่นึกลังเล รีบเดินตรงดิ่งเข้ามาทันที แต่ในเวลานี้ครั้นจิตใจเริ่มสงบ นางก็หันไปสังเกตดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยความเคยชิน
ที่แห่งนี้ก็เหมือนกับเรือนสี่ประสานทั่วไป ที่เรียงรายไปตามกำแพงคือห้องหับเรียบง่าย ด้านหน้าคือระเบียงทางเดิน ต้นสนเขียวชอุ่มกับไผ่สีเขียวสดแผ่ปกคลุมออกมาจากเรือนด้านหลัง ส่งกลิ่นหอมสดชื่นกำจายท่ามกลางพายุฝน เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกปลูกมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว บนลานว่างกลางเรือนมีศาลาคลายร้อนอยู่หลายหลัง ใต้ศาลาพวกนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเกลื่อนกลาดบ้างก็นั่งบ้างก็นอน และคงเพราะอากาศร้อนอบอ้าว ประตูห้องหับทั้งหมดจึงถูกเปิดออก จนมองเห็นคนที่นอนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ภายในได้รางๆ แม้แต่ใต้ชายคาระเบียงก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน
นับดูคร่าวๆ ภายในเรือนพำนักแห่งนี้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีคนอยู่รวมกันสักร้อยคนเห็นจะได้ ทั้งชายหญิงเด็กและคนชราต่างล้วนเสื้อผ้าขาดวิ่น แค่มองดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านยากจน และเพราะฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ ผู้คนส่วนใหญ่จึงต่างพากันหลับใหล ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเสียงผู้คนเอะอะมะเทิ่ง จะมีก็แต่เสียงสายฝนเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูไม่หยุด
เผยเสวียนจิ้งพอเข้าใจได้แล้ว หลางส่านเอ๋อร์คงเพราะเห็นว่ามีคนเยอะเกินไปแล้วนั่นเอง ถึงได้ไม่ยอมให้นางเข้าพัก นางเอ่ยปากกระเซ้าเขา “ส่านหลางล้อข้าเล่นแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าที่นี่มีแขกที่เป็นสตรีพำนักอยู่มิใช่น้อย”
หลางส่านเอ๋อร์แก้ตัว “คนอื่นล้วนมากันทั้งครอบครัว ส่วนแม่นาง…ลำพังตัวคนเดียว”
“คนเดียวแล้วเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ใช่ว่าจะนับลำพังตัวคนเดียวได้ ยังมีสารถีมากับข้าด้วยอีกคน”
หลางส่านเอ๋อร์พูดอะไรไม่ออก แต่เพียงครู่เดียวเขาก็เอ่ยฉุนเฉียว “ไหนๆ ข้าก็ปล่อยให้เข้ามาแล้ว เมื่อได้ตามที่ต้องการแม่นางก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งพูดอันใดอีก” พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
* หลาง เป็นคำเรียกบุรุษในสมัยโบราณ ใช้ต่อท้ายชื่อ บางสมัยมีนัยเชิงให้เกียรติยกย่อง บางท้องถิ่นแสดงถึงความเอ็นดูและเป็นกันเอง