• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ บทที่ 2

    ทันใดนั้นใบหน้าด้านขวาของจางเผิงมีรอยสีแดงรูปนิ้วมือปรากฏขึ้นสามเส้น

    เหอจื้อเซิ่งลุกออกจากที่นั่ง พลิกโบกฝ่ามือ กลับที่นั่ง…มันลงมือรวดเร็ว สายตาของจางเผิงไม่มีทางจับภาพได้ครบถ้วน ดูเหมือนจะเห็นเพียงเงาโฉบผ่าน

    แต่ต่อให้จับภาพได้ มันก็มิกล้าหลบ

    “ศิษย์น้องประลองกระบี่ เจ้าสอดมือด้วยเหตุใด” หว่างคิ้วเหอจื้อเซิ่งปรากฏรอยย่นโกรธเคืองอย่างเด่นชัด

    “ศิษย์น้องเยียนอายุยังน้อย ข้าคิดว่า…”

    “กระบี่สำนักชิงเฉิงมิใช่มีไว้แกะสลัก” ดวงตาสีเทาของเหอจื้อเซิ่งถลึงใส่จางเผิง “ฆ่าคนมิได้ มันก็ไม่ต้องจับกระบี่”

    จางเผิงเหงื่อซึมแผ่นหลัง ยามนี้คุกเข่าลงบนพื้น

    “ศิษย์รู้ผิดแล้ว”

    “ความจริงนี่ก็มิใช่เรื่องเลวร้าย” ซ่งเจินประคองมันไปพลางกล่าวประนีประนอมไปพลาง “ปล่อยเจ้านั่นรอดไปสักคน ให้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของมันเผยแพร่ชื่อเสียงสำนักเรา”

    คำพูดของศิษย์น้องทำให้เหอจื้อเซิ่งสีหน้าผ่อนคลายลง มันพยักหน้า จากนั้นเดินไปด้านขวาของโถงกุยหยวน

    ตรงกลางผนังด้านนั้นทาด้วยสีน้ำมันจนเป็นเหมือนหิมะขาวแผ่นใหญ่ บนนั้นใช้ตะปูแขวนป้ายไม้เอาไว้สี่แถว รวมสิบเก้าแผ่น แต่ละแผ่นต่างมีชื่อเขียนอยู่ จัดเรียงเป็นรูปทรงภูเขาแหลมลูกเล็ก

    ป้ายชื่อด้านบนสุดมีเพียงหนึ่งเดียว อักษรที่เขียนบนแผ่นป้ายย่อมเป็น ‘เหอจื้อเซิ่ง’ สามตัว

    แถวที่สองมีสามแผ่นป้าย รวมทั้งชื่อของซ่งเจินที่อยู่ในลำดับอาวุโสของอาจารย์อาทั้งสาม

    ล่างสุดรวมแล้วมีป้ายชื่อสิบห้าแผ่น แบ่งเป็นสองแถวตามลำดับ ในสิบห้าแผ่นมีชื่อแตกต่างกัน รวมทั้งจางเผิงที่เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

    เหอจื้อเซิ่งมองดูตำแหน่งว่างเปล่าของป้ายชื่อที่เหลืออยู่ด้านท้ายสุด มันแย้มยิ้ม

    ขณะที่เหอจื้อเซิ่งยิ้ม ลักษณะน่าสะพรึงกว่าตอนที่มันโมโหเมื่อครู่เสียอีก

     

    จางเผิงเดินออกจากโถงกุยหยวนพร้อมกับรอยริ้วสีแดงสามเส้นบนใบหน้า เยียนเสี่ยวลิ่วยังคงรอคอยอยู่ด้านนอก ครั้นเห็นใบหน้าของศิษย์พี่ก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างอดมิได้

    “ศิษย์พี่ เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่”

    จางเผิงกลับส่ายหน้า แย้มยิ้มไม่ตอบคำ ยื่นแขนพาดบ่าศิษย์น้องเอาไว้ แล้วเดินไปพร้อมกัน

    ชุดคลุมเปียกปอนเพราะน้ำฝนซึมผ่าน หากเยียนเสี่ยวลิ่วก็รับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของศิษย์พี่อบอุ่นมาก

     

    เยียนเสี่ยวลิ่วกลับมาถึงเรือนพักของศิษย์ก็รีบถอดชุดคลุมสำนักชิงเฉิงตัวนั้นออกที่หน้าเตียงของตน ผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่ใส่ฝึกยุทธ์ทุกวัน หยิบกระบี่เหล็กทื่อและกระบี่ไม้ที่ใช้ฝึกซ้อมขึ้นมา วิ่งไปยังลานฝึกทางตะวันออกของเรือนเสวียนเหมินอย่างเร่งร้อน

    ขณะที่มันวิ่งมาถึง วิชาเรียนคาบเที่ยงก็จบลงแล้ว สหายร่วมสำนักสามสิบกว่าคนบนลานฝึกกลางแจ้งแห่งนั้นได้ฝึก ‘กระบี่ไร้กระบวน’* ช่วงสุดท้ายจนจบแล้ว ต่างคนต่างวางกระบี่ พักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างก็จับกลุ่มกันสามถึงห้าคนดื่มน้ำพูดคุยเรื่องขบขัน บ้างก็อภิปรายถึงกระบวนท่าที่ใช้ต่อสู้เมื่อครู่ และมีหลายคนที่บาดเจ็บเพราะรับมือไม่ทันจากการถูกกระบี่ไม้ของสหายร่วมสำนักฟันแทงกำลังรับการรักษาเยียวยาจากศิษยานุศิษย์

    * การฝึกกระบี่ใช้คนตั้งแต่สองคนขึ้นไป หลักๆ จะแบ่งเป็นสองรูปแบบ ได้แก่ ฝึกกระบี่ตามกระบวน เป็นการฝึกซ้อมตามกระบวนท่าตามลำดับที่สามารถคาดเดาได้ เริ่มแรกใช้กระบี่ไม้ พอเข้าขั้นถึงใช้กระบี่เหล็กทื่อไปจนถึงกระบี่จริง แม้ว่ากระบวนท่าสามารถคาดเดาได้ แต่ขณะที่โจมตีด้วยความเร็วและความแรงทั้งหมดยังคงมีอันตรายอย่างแน่นอน อีกประเภทคือฝึกกระบี่ไร้กระบวน เป็นการตะลุมบอนกันอย่างอิสระ มักใช้ความเร็วและความแรงเพียงครึ่งเดียวในการโจมตี พอแตะถูกก็หยุด และใช้กระบี่ไม้เพื่อลดการเกิดการบาดเจ็บ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook