• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ บทที่ 2

    เยียนเสี่ยวลิ่วรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย นับตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนักเขาชิงเฉิงตอนอายุสิบเอ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่ขาดเรียน

    มันมองดูศิษยานุศิษย์ร่วมสำนักเหล่านี้ตากฝนโปรยปราย ยังคงรวมตัวอยู่ที่ลานฝึกไม่ยอมแยกย้ายไปไหน นี่คือช่วงเวลาอันแสนวิเศษของทุกวี่วัน คาบฝึกซ้อมสองคาบ แต่ละคาบยาวสองชั่วยาม ทุกเช้าเที่ยงของวัน จัดอยู่ในระดับยากเย็นแสนเข็ญ ทำให้คนที่นึกถึงเคร่งเครียดจนอยากอาเจียน ทุกครั้งที่วิ่งมาเข้าเรียนที่ลานฝึก ขาทั้งสองข้างราวกับลากโซ่ตรวนเอาไว้ แต่ว่าหลังเลิกเรียนทุกคนก็จะเกียจคร้านจนไม่ยอมไปไหน มักจะเล่นสนุกก่อนพักหนึ่งค่อยกลับไปอาบน้ำกินข้าว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกพ้องที่สนิทสนมจนรู้สึกแน่นแฟ้นเป็นพิเศษเหล่านั้นหลังผ่านการฝึกฝนอันยากลำบากมาด้วยกันในทุกๆ วัน

    แต่ว่าวันนี้เยียนเสี่ยวลิ่วมิได้ร่วมฝึกฝนด้วยกันกับทุกคน มันเต็มไปด้วยความเขินอาย สะพายกระบี่เอาไว้ เกาศีรษะเดินเข้าไปเงียบๆ

    สหายร่วมสำนักเห็นมันเข้ามาก็พากันเงียบสงบในทันที พวกมันใช้สายตาที่ไม่เหมือนแต่ก่อนมองดูเยียนเสี่ยวลิ่ว

    “พวกเจ้า…เป็นอะไรไป…” เยียนเสี่ยวลิ่วกล่าวพึมพำ ความจริงในใจของมันกระจ่างแจ้งถึงสาเหตุที่สายตาของทุกคนผิดปกติไป

    เป็นเพราะวันนี้มันได้ลงเขา

    ‘ศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญ’ สามสิบเจ็ดคนบนลานฝึก รวมถึงเยียนเสี่ยวลิ่ว ผู้ที่กราบอาจารย์เข้าสำนักชิงเฉิงยาวนานที่สุดประมาณสิบสองถึงสิบสามปี สั้นที่สุดห้าถึงหกปี ในใจของทุกคนล้วนมีเพียงความฝันเดียว…

    ‘นำป้ายไม้ที่เขียนชื่อของตนเองแขวนไว้บนผนังสีขาวผืนนั้นในโถงกุยหยวน’

    และการที่ได้ลงเขาประลองกระบี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นของการบรรลุความฝันนี้

    ในสามสิบเจ็ดคน เยียนเสี่ยวลิ่วเป็นคนแรกที่ทำสำเร็จ

    เยียนเสี่ยวลิ่วยืนอยู่ระหว่างสหายร่วมสำนักที่ไม่พูดไม่จา มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

    คนที่ทำลายความเงียบเป็นคนแรกคือม่ายต้าเจี๋ยผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ หน้ากลมปากกว้างที่สุดในที่นั้น

    “เสี่ยวลิ่ว ดูเหมือนเจ้าลงเขากลับมาไม่ค่อยเหนื่อยนัก ยังรีบวิ่งมาเรียนคาบเที่ยง! แสดงว่าตอนเจ้าอยู่ข้างล่างคงมิได้ขยับร่างกาย! มาๆๆ ข้าขอประลองกระบี่กับเจ้า!” ม่ายต้าเจี๋ยกล่าวพลางยกกระบี่ไม้ขึ้น

    ม่ายต้าเจี๋ยโตกว่าเยียนเสี่ยวลิ่วสี่ปี ความจริงเข้าสำนักช้ากว่ามันปีกว่าๆ แต่กลับปฏิบัติกับมันเหมือนน้องชาย สิ่งที่เหมือนกันของคนทั้งสองคือเป็นลูกหลานที่ถือกำเนิดมาจากครอบครัวชาวนาอันต่ำต้อย

    เยียนเสี่ยวลิ่วกำลังคิดจะดึงกระบี่ไม้ออกมาจากฝักกระบี่ แต่กลับถูกเสียงหนึ่งยับยั้งไว้

    “เสี่ยวลิ่ว ลืมคำสั่งสอนของอาจารย์แล้วหรือ”

    คนที่พูดคือซ่งเต๋อไห่ศิษย์พี่ห้าผู้สอนวิชาเรียนคาบเที่ยงในวันนี้ มันคือ ‘ศิษย์สาวกสืบมรรคา’ ที่ได้แขวนป้ายไม้ในโถงกุยหยวนแล้ว อีกทั้งยังเป็นบุตรของอาจารย์อาซ่งเจิน ตำแหน่งย่อมสูงกว่าศิษย์สาวกฝึกบำเพ็ญทั้งสามสิบเจ็ดคนในที่นี้หนึ่งขั้นใหญ่

    “ผู้ที่นำกระบี่ลงเขา หลังกลับขึ้นเขาห้ามมิให้ฝึกกระบี่อีกภายในวันเดียวกัน” ซ่งเต๋อไห่กล่าวสืบต่อ “นั่นเพราะกลัวว่าจิตสังหารของผู้ที่ลงเขาจะยังไม่สลาย หากประลองกระบี่เกรงว่าจะพลั้งมือทำร้ายสหายร่วมสำนัก”

    เยียนเสี่ยวลิ่วเก็บฝักกระบี่ขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น “ข้าลืมไป ขออภัยขอรับ”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook