• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ บทที่ 3 และบทที่ 4

    “ทุกคนเห็นชัดเจนแล้วใช่ไหม หากเห็นชัดเจนแล้วก็เริ่มฝึกได้” เยียนเหิงสวมชุดคลุมกลับคืนไปพลางกล่าวไปพลาง “ต้องตั้งใจฝึกล่ะ นับจากนี้หนึ่งเดือน พวกเจ้าจงฝึกเพียงสองท่านี้ สิ่งอื่นใดล้วนไม่ต้องคิด เอาแค่สกัด แทง สกัด แทง

    คนที่ฝึกได้ไม่ดีในหนึ่งเดือนก็ฝึกต่ออีกหนึ่งเดือน วันใดฝึกสองท่านี้ไม่ดี วันนั้นก็ไม่ต้องหวังฝึกกระบี่เพลิงวายุท่าต่อไป เข้าใจไหม”

    “ขอรับ! ศิษย์พี่!” เสียงตะโกนของกลุ่มคนครานี้ก้องกังวานกว่าทีแรกมากนัก

    พวกมันแยกกันยืนเป็นแถว เริ่มฝึกปรือกระบวนท่าเข้าสำนักขั้นพื้นฐานนี้ เยียนเหิงคอยสังเกตการณ์ท่ามกลางพวกมัน แก้ไขท่วงท่าและการออกแรงของพวกมันทุกคนให้ทีละคน ในนั้นมีหลายคนเรียนรู้ได้รวดเร็วเป็นพิเศษ ไม่ถึงครู่หนึ่งการสกัดและแทงก็เป็นระเบียบแบบแผน

    แต่เยียนเหิงรู้ดีว่าตอนนี้จะตัดสินว่าพวกมันมีคุณสมบัติในการเรียนกระบี่หรือไม่ยังเร็วเกินไปมากนัก ‘พลังแท้โดยกำเนิด’ อันเป็นสิ่งสำคัญของมือกระบี่ที่แท้จริงคือสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด และจะปรากฏออกมาเมื่อหล่อหลอมตนเองมากพอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการฝึกฝนร่ำเรียนของศิษย์สาวกประตูเขาต้องมีระยะเวลานานถึงสองปี บางทีในยี่สิบแปดคนนี้ แม้สักคนก็หามีไม่ หากมีคนสองคนก็เป็นโชคดีของสำนักชิงเฉิงแล้ว

    เยียนเหิงตรวจตราดูอีกหนึ่งรอบ เห็นว่าทุกคนล้วนฝึกได้เข้าทีบ้างแล้วจึงให้พวกมันฝึกต่อไปเอง ส่วนตนเดินไปใต้ต้นไม้ข้างพื้นที่ว่าง ร่ายรำกระบี่ไม้อย่างบ้าคลั่ง ในใจกำลังทำความเข้าใจว่าไยเมื่อครู่ท่าดาวไล่เดือนนั้นถึงรุดหน้าไปมาก

    “เสี่ยวลิ่ว เจ้าน่าเกรงขามยิ่งนัก เป็นศิษย์พี่แล้วไม่เหมือนเดิมจริงๆ” สุ้มเสียงกังวานพลันถ่ายทอดมาจากหลังต้นไม้

    สตรีเรือนร่างอรชรนางหนึ่งก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ สวมใส่ชุดปักลาย ด้านนอกคลุมทับด้วยผ้าขนสัตว์อีกชั้นหนึ่ง ดูคล้ายบุตรีของบ้านผู้มีฐานะ รูปร่างเติบโตสมส่วนเอิบอิ่ม ทว่าใบหน้ากลับซูบแหลมเกินไปดูคล้ายเป็นโรคชนิดหนึ่ง จึงขับให้ดวงตาคู่นั้นใหญ่และวาวยิ่งขึ้นชวนให้เอ็นดู เนื่องเพราะสัมพันธ์กับอากาศหนาวบนเขา แก้มทั้งสองข้างจึงแดงก่ำ ทำให้ใบหน้าขาวซีดแต่เดิมเพิ่มสีเลือดเข้าไปอีกจำนวนหนึ่ง

    เยียนเหิงมองเห็นเด็กสาวที่ชื่นชอบก็รีบเก็บกระบี่ไม้ ยิ้มแหยๆ ให้ แล้วจู่ๆ มันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ร้องคำว่าแย่แล้วเบาๆ พลางเขกศีรษะตัวเอง

    แย่แล้ว เมื่อวานลืมไปหานางเสียสนิท

    “คนบ้ากระบี่ สอนเหล่าศิษย์น้องจนเพลิดเพลิน แม้ข้ามาก็มองไม่เห็น” เด็กสาวกล่าวด้วยโทสะ

    “เสี่ยวหลี วันนี้หนาวเพียงนี้ เจ้าออกมาทำไมแต่เช้า” เยียนเหิงมองดูใบหน้าอมชมพูของนางด้วยความกังวลเล็กน้อย “หากว่าไม่สบายเข้า อาจารย์อาจะต้องด่าข้าแน่”

    เด็กสาวนางนี้คือซ่งหลี บุตรีวัยกำดัดของอาจารย์อาผู้ดูแลซ่งเจิน น้องสาวของศิษย์พี่ห้าซ่งเต๋อไห่ อายุเพิ่งจะสิบหกปี อ่อนกว่าเยียนเหิงหนึ่งปี

    “ก็มาแสดงความยินดีกับศิษย์พี่เยียนเหิงผู้นี้อย่างไรล่ะ” ซ่งหลีจงใจหันหน้าหนี “ได้เป็นศิษย์พี่ก็ลืมกันเสียแล้ว เมื่อวานกลับมาจากลงเขาก็ไม่มารายงานสารทุกข์สุกดิบกับข้า หากมิใช่เสี่ยวอิงมาบอกข้า ข้ายังคิดว่าเจ้าถูกผู้อื่นแทงกระบี่จนพรุนอยู่ข้างล่างไปแล้ว”

    เสี่ยวอิงก็คือโหวอิงจื้อ คนทั้งสามอายุไล่เลี่ยกัน เติบโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนเล่นที่มีไมตรีต่อกันที่สุด

    เยียนเหิงแก้ตัวอย่างโง่เขลา “เมื่อวานตอนที่ข้ากลับมาก็บ่ายคล้อยแล้ว หนำซ้ำยังขาดเรียน ไม่สะดวกหลบไปหาเจ้า อีกทั้งเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องล้วนฉุดกระชากข้าไปถามโน่นถามนี่ ข้าไปมิได้…”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook