• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ บทที่ 3 และบทที่ 4

    “หากว่าในใจเจ้ามีข้าล่ะก็ ดึกดื่นจะแอบหนีมาพบข้าสักนิดมิได้เลยหรือ”

    เยียนเหิงได้ยินคำนี้ของเสี่ยวหลีก็ก้มศีรษะ หน้าแดง เมื่อวานในหัวสมองมันมัวนึกถึงการประลองกระบี่ที่ศาลาอู่หลี่ ยังมีเรื่องราวที่จะได้สร้างชื่อในโถงกุยหยวนอีก ตลอดเวลามิได้คิดถึงนางเลย

    เห็นเยียนเหิงในท่าทางเก้อเขินนี้ ในใจซ่งหลีทั้งโมโหทั้งขำขัน

    “เจ้าก็อย่าโป้ปดให้ข้าหายโกรธจะได้ไหม คนบ้ากระบี่ เหมือนอาจารย์ลุงเจ้าสำนักไม่มีผิด ผู้อื่นไม่รู้คงคิดว่าเจ้าเป็นบุตรแท้ๆ ของอาจารย์ลุง”

    บนเขาชิงเฉิง ผู้ที่มีความกล้ากล่าวถึงเหอจื้อเซิ่งเช่นนี้คงจะมีเพียงซ่งหลีผู้เดียว เยียนเหิงพอได้ยินก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

    ซ่งหลีเองก็รู้สึกว่ากลั่นแกล้งพอสมควรแล้วจึงกล่าว “เอาล่ะ คราวหน้าเราไปในเมือง ข้าค่อยคิดว่าจะลงโทษเจ้าให้ซื้อของอะไรให้ข้าเพื่อเป็นการชดเชยดี ตอนนี้เจ้าบอกข้ามา ลงเขาเมื่อวานพบเจอกับเรื่องอะไรน่าสนุกบ้าง”

    เห็นรอยยิ้มของซ่งหลี เยียนเหิงจึงถอนหายใจ แต่ว่ามันมองไปยังเบื้องหลัง ศิษย์น้องทั้งมวลยังคงฝึกกระบี่อยู่

    “ตอนนี้มิได้ รอคาบเรียนนี้จบข้าค่อยไปหาเจ้าแล้วกัน”

    “ไม่เอา เจ้าบอกมาเสียตอนนี้เลย! ให้พวกมันฝึกเองก็ได้มิใช่หรือ เจ้าทุ่มเทสอนต่อไป พวกมันก็มิใช่จะกลายเป็นยอดฝีมือล้ำเลิศในหนึ่งวันสองวัน”

    สีหน้าเยียนเหิงไม่เห็นพ้อง นี่คือคาบเรียนแรกที่มันสอนแทนหลังเพิ่งสร้างชื่อเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคา ถ้าหากแค่นี้ยังเกียจคร้าน เกรงว่าอาจารย์รู้เข้าจะต้องกล่าวโทษเป็นแน่

    “เสี่ยวหลี พอได้แล้ว…ที่ข้าลงเขาไปก็มิได้มีเรื่องสนุกสนานอะไร ล้วนเป็นเรื่องราวการต่อสู้ในยุทธภพที่เจ้าไม่เคยสนใจ”

    วรยุทธ์ชิงเฉิงแต่ไรมาไม่เคยถ่ายทอดให้สตรี ซ่งหลีแม้เป็นบุตรีของอาจารย์ฝึกสอนและผู้ดูแลก็ไม่มีข้อยกเว้น นางเกิดที่สำนัก แต่ไม่เคยคิดว่าการฝึกยุทธ์คือเรื่องที่น่าสนใจอะไร บุรุษผู้แสวงหาวิถียุทธ์แต่ละคนที่รายล้อมรอบกายนางก็ไม่สนใจ มีเพียงเยียนเสี่ยวลิ่วและโหวอิงจื้อเด็กหนุ่มสองคนที่อายุไล่เลี่ยกันมีใจตรงกับนางตั้งแต่เด็ก หลังเลิกเรียนมักพานางไปเตร็ดเตร่ทั้งบนเขาและเชิงเขาในตำบลเว่ยเจียง เป็นเพื่อนเล่นจำนวนน้อยนิดที่นางมี

    “เสี่ยวลิ่ว เจ้าก็บอกข้ามาเถอะ ข้าเบื่อแทบตายแล้ว” ซ่งหลีอ้อนวอนให้มันพูด

    มารดาซ่งหลีด่วนจาก บิดาและพี่ชายก็ล้วนเป็นคนยุ่งที่เคร่งขรึม คนทั้งเรือนเสวียนเหมินและทั่วสำนักชิงเฉิงทั้งวันล้วนแต่พูดถึงการฝึกยุทธ์ที่นางไม่ชอบที่สุด เวลาปกตินอกจากพวกคนงานและบ่าวรับใช้ก็แทบไม่มีคู่สนทนา ชีวิตโดดเดี่ยวน่าเบื่ออย่างมาก บางครั้งนางถึงขนาดรู้สึกว่าตนเองเป็นเช่นมนุษย์ล่องหนที่ไม่มีใครมองเห็นในสำนักชิงเฉิง

    ผู้ที่สามารถมองเห็นนางก็มีเพียงเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวอิงสหายคู่นี้เท่านั้น

    “มันมิได้เรียกว่าเสี่ยวลิ่วแล้ว” คนผู้หนึ่งกล่าวพลางเดินออกมาจากส่วนลึกของป่า “วันนี้เป็นต้นไป ชื่อของมันเรียกว่าเยียนเหิง”

    ผู้ที่เอ่ยคำคือโหวอิงจื้อซึ่งสะพายกระบี่อยู่ หน้าตาของมันเย็นชาเช่นเดียวกับในลานฝึกเมื่อวาน เยียนเหิงนึกขึ้นได้ว่าโหวอิงจื้อมิได้พูดจากับตนหลายวันแล้ว นี่คือเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับแต่คนทั้งสองเข้าสำนักมาหลายปี

    รูปลักษณ์ของโหวอิงจื้อสูงสง่าเช่นเดียวกับเยียนเหิง แต่เมื่อเทียบกับเยียนเหิงผู้ขี้อาย โหวอิงจื้อมีความห้าวหาญที่ไม่ยอมจำนนของบุรุษมากกว่าหนึ่งส่วน สีหน้าท่าทางล้วนมีความคล่องแคล่วชนิดหนึ่ง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook