โหวอิงจื้อมองดูมัน ถอนหายใจส่ายหน้าเล็กน้อย
ยามนี้เอง ซ่งหลีพลันตะโกนเรียกคนทั้งสอง “พวกเจ้ารีบมาดูเร็ว!”
ศิษย์ที่กำลังฝึกกระบี่ได้ยินก็ล้วนประหลาดใจ แต่ยังมิได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่เยียน พวกมันจึงมิกล้าหยุดการฝึกซ้อม
เยียนเหิงและโหวอิงจื้อเดินไป สายตามองตามซ่งหลีไปยังด้านล่างเนินเขา
เห็นเพียงลูกหาบกลุ่มหนึ่งดันรถไม้ห้าคันจากซุ้มประตูเขามาตามช่องเขา มุ่งตรงไปยังเรือนเสวียนเหมินทางด้านโน้น ด้านหน้ายังมีบุรุษหลายคนนำอยู่ รถไม้เหล่านั้นล้วนบรรทุกสินค้าเต็มคัน
“พวกมันคือใคร” ซ่งหลีถาม “รถบรรทุกอะไร”
“เจ้าลองถามเยียนเหิงก็รู้แล้ว” โหวอิงจื้อกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย
“ข้า?” เยียนเหิงตกตะลึง “ข้าไม่รู้หรอก”
“มิใช่สิ่งของที่ผู้เฒ่าจวงคนที่เชิญมือกระบี่ชิงเฉิงเช่นเจ้าลงเขาคนนั้นส่งมาหรอกหรือ” โหวอิงจื้อกล่าว “เป็นของขวัญขอบคุณอย่างไรเล่า”
เยียนเหิงกระจ่างโดยพลัน
“หึๆ ศิษย์พี่เยียนผู้นี้น่าเกรงขามจริงๆ!” ซ่งหลีกล่าวพลางหัวเราะ “กระบี่เล่มเดียวก็กอบโกยแทนสำนักชิงเฉิงของพวกเราได้มากถึงเพียงนี้!”
เยียนเหิงกลับมิได้หัวเราะ มันนึกถึงคำถามที่หยิบยกมาถามศิษย์พี่จางเผิงเมื่อวาน
“เสี่ยวอิง เจ้าคิดว่า…เช่นนี้จะดีหรือ” เยียนเหิงมองรถไม้เหล่านั้นพลางถาม “พวกเราออกหน้าแทนผู้อื่นใช้กำลังกำราบผู้คน…หลังจากนั้นก็ได้ของขวัญขอบคุณ เช่นนี้พวกเรากับสำนักพรรคที่คอยคุมถิ่นหาประโยชน์ยังจะมีอะไรที่แตกต่าง?”
โหวอิงจื้อตกตะลึงพักหนึ่งก่อนที่จะปล่อยหัวเราะ “จะไปมีปัญหาอะไร พวกเราเหนือกว่าคนข้างล่างเหล่านั้น ได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้อื่นมิใช่สมเหตุสมผลแล้วหรอกหรือ”
“แต่ว่า…”
“เจ้าลองคิดดู พวกเรามือกระบี่ก็ต้องกินข้าว” โหวอิงจื้อกล่าว “หากว่ายังต้องทำนาเลี้ยงชีพทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลามากมายมาตั้งใจฝึกฝน ไหนเลยจะยังฝึกฝนวรยุทธ์ให้ออกมาลึกล้ำถึงขั้นนี้”
เยียนเหิงอยู่ที่สำนักชิงเฉิงมานานหลายปี ย่อมรู้แหล่งที่มาของรายได้สำนักไม่มากก็น้อย อันดับแรกคือตำหนักอารามเต๋าบนเขาหน้าสำนักชิงเฉิง โดยทั่วไปจะมีเงินบริจาคที่มอบด้วยความศรัทธา ทั้งหมดจะจัดแบ่งส่วนหนึ่งส่งมอบให้เรือนเสวียนเหมิน ด้านล่างเขาสำนักชิงเฉิงยังมีที่นาอีกเล็กน้อย ปลูกข้าวให้ผู้คนในสำนักกิน นอกจากนี้ก็คือเงินกำนัลกราบอาจารย์ที่ศิษย์กำนัลนำมาตอนเข้าสำนัก ยังมีของขวัญแสดงความยินดีของศิษย์เก่าที่รับราชการหรือมีครอบครัวแล้วส่งมาทุกเทศกาล
เยียนเหิงนึกขึ้นได้อีกว่าศิษย์ฝึกยุทธ์แม้จะยากเข็ญ แต่งานบ้านงานเรือนทุกชนิดในชีวิตประจำวันล้วนมีคนงานทำให้ วันหนึ่งกินข้าวสี่มื้อ อีกทั้งของคาวของหวานไม่เคยขาดเพื่อเติมเต็มสิ่งที่สูญเสียไปขณะฝึกฝนอย่างยากลำบาก บำรุงร่างกายทุกส่วนให้แข็งแรง ทุกปีล้วนมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนสี่ฤดู…ชีวิตเช่นนี้แม้มิได้ฟุ้งเฟ้อถึงขนาดผู้รากมากดี แต่ก็เกินกว่าประชาชนคนทั่วไปมากนัก เยียนเหิงเพิ่งเคยกินปลาครั้งแรก มีเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านผลัดเปลี่ยนก็หลังขึ้นเขาชิงเฉิง
สิ่งเหล่านี้ในชนบทเป็นเพียงฝันเฟื่องจึงจะมีได้
“เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว” โหวอิงจื้อกล่าว “เจ้ารู้ไหมเพราะเหตุใดอาจารย์จึงมอบชื่อให้เจ้าว่าเหิงเพียงตัวเดียว นั่นก็เพราะนิสัยของเจ้าอ่อนโยนเกินไป หวั่นเกรงคนรอบข้างเกินไป พวกเราคือนักสู้ของสำนักใหญ่เลื่องชื่อ ก็ควรมีจิตใจห้าวหาญ ถลึงตามองสามัญชนอย่างเยือกเย็น หากขาดความทระนงก็ยากมากที่จะไปถึงขั้นสุดยอดของวรยุทธ์”
สามัญชน…แม้แต่เสี่ยวอิงก็พูดเช่นนี้
เยียนเหิงฟังโหวอิงจื้ออธิบายเช่นนี้จึงเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่อาจารย์มอบชื่อให้แก่ตนเอง มันพยักหน้า ตัดสินใจไม่คิดถึงคำถามเมื่อครู่อีกต่อไป
“ข้าเคยบอกแล้ว” ซ่งหลีกล่าวทัดทาน “ข้ายังคงชอบเรียกเจ้าว่าเสี่ยวลิ่ว”
เยียนเหิงจึงเผยรอยยิ้ม
“ตกลง ต่อไปยามไม่มีใครอยู่ พวกเจ้าสองคนก็เรียกข้าเสี่ยวลิ่วเหมือนเดิม ข้าเองก็ชอบให้พวกเจ้าเรียกข้าเช่นนี้”
สหายรักวัยเยาว์สามคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ดั่งกำลังแบ่งปันความลับอันใหญ่หลวงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ด้วยเหตุนี้พวกมันก็เลยมิทันมองเห็นว่าด้านล่างเนินเขา ระหว่างรถไม้เหล่านั้นยังมีคนหนึ่งที่มิได้อยู่ในขบวนนี้ ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งวิ่งไปยังเรือนเสวียนเหมินด้านโน้น
มันคือนักพรตน้อยที่วันนี้รับหน้าที่ดูแลซุ้มประตูเขา จดหมายในมือฉบับนั้นเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในอำเภอก้วนเซี่ยนโดยสารรถม้าที่ว่าจ้างมาเพื่อนำส่งให้ด้วยความจริงใจ
บนซองจดหมายมีรอยประทับครั่งรูปสัญลักษณ์หยินหยางอยู่หนึ่งรอย
พวกมันทั้งสามและชะตาของทั้งสำนักชิงเฉิงล้วนจะเปลี่ยนแปลงเพราะจดหมายฉบับนี้