ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน รังอินทรีเหนือขุนเขา บทที่ 2
พอเห็นผมไม่พูดไม่จา เธอก็อธิบาย บอกว่าเธอกับลูกค้าคนนั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน เพียงแต่เธอรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจที่เขาเคยมีให้เลยถามออกมา ไม่มีความหมายอื่น เธอเชิญพวกเราไปที่เคาน์เตอร์ของทางร้าน บอกให้พนักงานเอากาแฟมาให้พวกเรา (บอดใหญ่จ้าวยืนกรานขอเปลี่ยนเป็นเบียร์กระป๋อง) ก่อนจะเล่าเรื่องของน้าเล็กในเวลานั้นให้พวกเราฟัง
เธอบอกว่าตอนนั้นตัวเองอกหัก พเนจรร่อนเร่มาถึงลาซา เพราะชอบที่นี่ ดังนั้นจึงเอาเงินสะสมทั้งหมดที่มีมาลงทุนเปิดร้านไปรษณีย์ช้าอยู่ที่นี่ แนวคิดของร้านคือต้องการให้คนชะลอจังหวะชีวิตลงสักเล็กน้อย ย้อนมองดูตัวเองในอดีต หลังจากปล่อยให้อารมณ์ความคิดอ่านได้ตกตะกอนมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่หลังจากเปิดร้าน ลูกค้ากลับมีไม่มาก เงินที่สะสมมาจึงถูกใช้ไปจนหมด ในช่วงที่ร้านใกล้จะต้องปิดตัวลงก็มีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ลูกค้าคนนั้นตั้งอกตั้งใจฟังเธออธิบายถึงแนวคิดของไปรษณีย์ช้า ก่อนจะบอกว่าเขาอยากให้เธอช่วยส่งไปรษณีย์ช้าไปถึงคนคนหนึ่งในอีกห้าปีข้างหน้า
ลูกค้าคนนั้นห่อคลุมร่างไว้ใต้เสื้อโค้ต ปกเสื้อตั้งขึ้น สวมแว่นกันแดด ท่าทางเหมือนเป็นคนเก็บตัว พูดจารวบรัด แทบจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เจือปน
เธอรู้สึกเสียใจเล็กๆ ‘ขอบอกให้คุณลูกค้าทราบตามตรง สถานการณ์ของร้านเราในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก คงอยู่ได้ไม่ถึงห้าปี ทว่าฉันขอสัญญา วันใดที่ร้านนี้ปิดตัวลงฉันจะส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปให้ทันที’
เขาเงยหน้า พูดตัดบทขึ้นมาทันควัน ‘ถ้าร้านไม่มีลูกค้า จะอยู่ให้ครบห้าปีทางร้านต้องใช้เงินเท่าไหร่’
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็บอกตัวเลขออกไป
นึกไม่ถึงว่าเขาจะควักบัตรเครดิตจ่ายเงินจำนวนนั้นให้ทันที
‘ตอนนี้คงรอจนครบห้าปีแล้วค่อยส่งจดหมายให้ผมได้แล้วใช่หรือเปล่า’
หญิงสาวเจ้าของร้านตกใจ บอกกับลูกค้าว่าเธอไม่ขอรับเงินจำนวนนี้ไว้เปล่าๆ แต่จะเปลี่ยนเป็นหุ้นร้านให้ วันไหนที่ร้านเริ่มมีกำไร เธอจะจ่ายเงินปันผลคืนให้เขา
แต่เขากลับปฏิเสธ บอกว่าเหตุผลที่เขายอมจ่ายเงินก้อนนั้นมีอยู่ประการเดียวคือหลังจากครบห้าปีพวกเราต้องช่วยเขาส่งจดหมายนี้ออกไป ส่วนวันหน้ากิจการจะยังดำเนินต่อหรือล้มละลายล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น และเขาก็ไม่นึกสนใจด้วย
แม้จะนึกสงสัย แต่เพราะลาซาเต็มไปด้วยผู้คนพิลึกพิลั่น ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจ
เพียงไม่นานเธอก็จัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ลูกค้าคนนั้นกำลังจะเดินออกจากร้าน เธอก็ถามคำถามสุดท้ายออกมา
‘ไม่ทราบว่าจดหมายฉบับนี้คุณลูกค้าต้องการส่งถึงใครคะ’
เขาชะงักเท้า ถอดแว่นกันแดดออก มองดูเธอปราดหนึ่ง
ใบหน้าของอีกฝ่ายแม้จะดูหนุ่มแน่นแต่ก็เหมือนเผชิญโลกมามาก โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น ทั้งลุ่มลึก ทั้งโศกเศร้า แฝงไว้ซึ่งความงามชวนลุ่มหลง
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรันทด ‘ผมส่งให้ตัวเอง หากว่าถึงตอนนั้นผมยังมีชีวิตอยู่’
เจ้าของร้านหลับตา คล้ายกำลังย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น
แสงอาทิตย์ยามบ่ายเจิดจ้า ลาซาไม่มีอะไรต่างจากทุกวัน กลิ่นหอมจางๆ ของชาเนยและธูปหอมเจืออยู่ในอากาศ ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง แสงอาทิตย์เฉียงๆ สาดส่องลงมาบนพื้น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังมองดูชายหนุ่ม
ภาพชายหนุ่มใต้เสื้อโค้ตยืนนิ่งแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าเอ่ยถ้อยคำทุกข์ระทมออกมานั้นสร้างความไหวหวั่นให้กับจิตใจอ่อนไหวของเธอไม่ใช่น้อย
เธอรู้สึกว่าคนคนนี้ต้องมีอดีตที่ซับซ้อนมากแน่ๆ และอาจมีอนาคตที่ซับซ้อนด้วยเช่นกัน บนหนทางที่ยากลำบากนั้นเขาเลือกที่จะเดินไปเพียงลำพัง
เขาเดินทางออกไป แผ่นหลังค่อยๆ เล็กและจางหาย จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเงาในใจชั่วนิจนิรันดร์…
น้ำตาของเธอเอ่อคลอ
เธอรู้สึกว่าตัวเองหลงรักอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
ห้าปีมานี้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหายุ่งยากอะไร เธอก็ยังคงพยายามรักษาร้านเล็กๆ นี้เอาไว้อย่างสุดกำลัง ทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่เพื่ออะไร หากเพียงแต่หวังว่าเมื่อห้าปีผ่านไปเธอจะมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง
น้ำตาที่เอ่อคลอส่องประกายระยิบระยับ เธอจ้องมองดูผมด้วยสายตาเฝ้ารอ “เขาสบายดีใช่ไหม เขา…ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง
น้าเล็กยังอยู่ดีใช่หรือเปล่า…
แน่นอนว่าสถานการณ์ของน้าเล็กในเวลานี้ไม่ดีเอามากๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เงียบหายไปเฉยๆ แบบนี้
แต่ที่ผมคิดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องพวกนั้น หากแต่เป็นคำพูดที่ลูกค้าคนนั้นบอก ‘ผมส่งให้ตัวเอง’ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนคนนั้นคือน้าเล็กและจดหมายนั่นก็จ่าหน้าซองถึงผม แล้วทำไมน้าเล็กถึงบอกกับชาวบ้านว่าส่งให้ตัวเอง
บอดใหญ่จ้าวกระทุ้งผมทีหนึ่ง ผมกลับมาได้สติอีกครั้ง สาวสวยเจ้าของร้านยังคงรอคำตอบจากผมอยู่
ผมพูดปลอบใจเธอ “คนคนนั้นเป็นนายห้างของพวกเรา เป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ตอนนี้เขาสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”
เธอหลับตา น้ำตาใสเป็นประกายสองหยดหล่นร่วง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เธอก็ลืมตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้ายินดี “ขอบคุณ…รู้ว่าเขาสบายดีฉันก็สบายใจ”
บอดใหญ่จ้าวอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “นายห้างของพวกเราตอนนี้ยังเป็นโสด…”
พอได้ยินแบบนั้น สาวสวยเจ้าของร้านที่รักษาท่าทีได้ด้วยดีมาโดยตลอดก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอลุกลี้ลุกลนยืนขึ้น บอกว่าจะไปรินน้ำมาให้พวกเราดื่ม แต่กลับทำกาแฟหกใส่ตัวเอง เธอรีบเอ่ยปากขอโทษ ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง
ผมส่งสายตาให้บอดใหญ่จ้าว พวกเราสองคนรีบออกไปทันที
บอดใหญ่จ้าวยังคงอาลัยอาวรณ์ “เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ พวกเราน่าจะอยู่ช่วยเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้สักหน่อย!”
ผมโมโหขณะลากบอดใหญ่จ้าวพลางพูด “นายห้างมีหรือต้องให้เฮียช่วยเป็นพ่อสื่อให้ เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
บอดใหญ่จ้าวไม่ยอมแพ้ เขาบอกไม่รู้ใครกันแน่ที่น่าเป็นห่วง ในบ้านคนหนึ่ง นอกบ้านยังมีอีกคน
บอดใหญ่จ้าวกำลังพูดถึงเจวียนจื่อกับจีเสี่ยวเหมี่ยน
ผมยอมรับว่าเจวียนจื่อมีความรู้สึกดีๆ ให้กับผม ปกติเวลาเห็นผม เธอมักจะหน้าแดงประจำ อีกทั้งยังคอยดูแลผมมากเป็นพิเศษ แต่เธอก็แค่นักเรียนมัธยมปลาย ผมเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
แต่เสี่ยวหม่ากลับเคยพูดอ้อมๆ บอกว่าที่สิบสองปันนาหญิงสาวอายุสิบห้าสิบหกก็ออกเรือนได้แล้ว อายุไม่ใช่ปัญหา ส่วนความรักก็ค่อยๆ บ่มเพาะกันไป ทำเอาผมถึงกับไม่กล้าไปทุ่งล่าสัตว์อีก
เรื่องเจวียนจื่อหายตัวไปในครั้งนี้ ผมเองก็อดนึกตำหนิตัวเองไม่ได้ หากผมเชื่อที่เจวียนจื่อพูด ไม่แน่ว่า เธออาจไม่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งเป็นไปได้กว่าอาจถูกอินทรียักษ์จับตัวไปอีกคนก็ได้
เรื่องนี้บอดใหญ่จ้าวโกรธผมมาก เขารู้สึกว่าผมเป็นไอ้บัดซบในหมู่ไอ้บัดซบ! บอกถ้าผมเลือกจีเสี่ยวเหมี่ยนก็ควรทำทุกอย่างให้ชัดแจ้ง แต่ถ้าหากไม่ ก็ให้เธอย้ายออกไปเสีย ไม่ใช่ทำคลุมเครือก้ำๆ กึ่งๆ แบบนี้!
ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย บอกเขาว่าเลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้นได้แล้ว รีบหาที่ตรวจดูจดหมายนี้ว่าใช่ของจริงหรือเปล่าดีกว่า
พวกเราเข้าตรอกนู้นออกตรอกนี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะแวะเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แอบทะลุออกทางประตูหลัง พอมั่นใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตามมา พวกเราก็เลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง แกะจดหมายฉบับนั้นมาออกอ่าน
เดิมพวกเราคิดว่าในจดหมายต้องเขียนเรื่องลับสำคัญอะไรบางอย่าง แต่นึกไม่ถึงว่าจดหมายฉบับนี้กลับแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม
จดหมายฉบับนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีเนื้อความอะไร แม้แต่ชื่อคนรับก็ยังไม่มี มีเพียงที่อยู่ของผู้รับจดหมายเท่านั้น
ผมไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ตกลงน้าเล็กคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาคิดจะถ่ายทำหนังสายลับ หรือคิดจะทิ้งเบาะแสให้ผมกับบอดใหญ่จ้าวค่อยๆ ค้นหาไปทีละก้าวๆ จนสุดท้ายก็ได้พบกับสมบัติล้ำค่าที่เขาทิ้งไว้ให้!
ที่อยู่ของผู้รับอยู่แถวๆ วัดเจ๋อปั้ง (เดรปุง) อันมีชื่อเสียงของทิเบต วัดเจ๋อปั้งเป็นหนึ่งในหกวัดสำคัญของนิกายหมวกเหลือง(เกลุก)ชื่อเดิมคือวัดจี๋เสียงหย่งเหิงสือจุนเซิ่งโจว (เขตมงคลทศทิศสิรินิรันดร์) ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างหุบเขาทางทิศใต้ของภูเขาเกินเผยอูจือซึ่งห่างจากเขตซีเจียวทางตะวันตกของกรุงลาซาไปราวสิบกว่ากิโลเมตร
ที่นั่นอยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่ พวกเราเรียกรถ มุ่งหน้าไปที่วัด
ตลอดทางทุกหนทุกแห่งล้วนแต่มีลามะในอาภรณ์สีแดงสด กับชาวจั้งที่เดินทางไกลมายังลาซาเพื่อทำการจาริกแสวงบุญ ครั้นเห็นนัยน์ตาเลื่อมใสศรัทธาของพวกเขา จู่ๆ ผมก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้การวิ่งไล่ไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเงินทองนั้นคุ้มค่าหรือเปล่า
ผมคล้ายเข้าใจผู้เฒ่าจิ่งขึ้นมาหลายส่วน สำหรับเขาแล้วการไปอยู่กับราชาอสรพิษไม่เพียงเป็นคำสัญญา หากแต่ยังเป็นความเลื่อมใสศรัทธา ได้ตายเพื่อความศรัทธาคงนับเป็นโชคอย่างหนึ่งได้กระมัง
พอลงรถ พวกเราก็เดินนับเลขที่บ้านไปกันทีละหลังๆ คิดว่าอาจได้พบกับกระท่อมฟางหญ้าโกโรโกโสสักหลัง หรือบาร์เหล้าคึกคักสักแห่ง ไม่ก็ร้านกาแฟสงบๆ อะไรทำนองนั้น ที่นั่นพวกเราจะได้รับจดหมายอีกฉบับ ด้านบนเขียนบอกไว้ว่าพวกเราต้องไปที่ไหนต่อ
นึกไม่ถึงว่าที่อยู่ที่น้าเล็กทิ้งไว้ให้กลับเป็นแผงขายของธรรมดาๆ ที่ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ แผงลอยแบบนี้ตั้งประชิดติดกันเป็นแนวอยู่ทั่วทุกหัวระแหง มีขายทั้งหินเทอร์ควอยซ์ มีดทิเบต เงินทิเบต เนื้อจามรีตากแห้ง ไม่มีอะไรแปลกประหลาด
ผมไม่ยอมแพ้ นั่งยองๆ ลงกับพื้น หยิบเอากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถามเจ้าของแผง “เอ่อ พี่ชาย เมื่อห้าปีก่อนคุณเคยเห็นผู้ชายถือซองจดหมายนี้บ้างหรือเปล่า”
ชายเจ้าของแผงเงยหน้า ผิวของเขาเข้มเป็นมัน ร่างกายกำยำ สวมเสื้อผ้าแบบชาวจั้ง มีมีดทิเบตเหน็บอยู่บนเอว นี่เป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มชาวทิเบตผู้องอาจห้าวหาญ
เขามองดูซองจดหมายปราดหนึ่ง ก่อนจะตอบน้ำเสียงเย็นชา “ไม่เคย”
ผมไม่ยอมแพ้ ถามเขาต่อ “พี่ชายช่วยลองคิดดูอีกที ตลอดห้าปีที่ผ่านมาคุณอยู่ที่นี่ไม่เคยย้ายไปไหนใช่หรือเปล่า”
เขาชี้ไปที่แผงแล้วพูด “ซื้อประคำสักเส้นสิ ประคำถือทำจากเมล็ดรุทรักษะจากเนปาล”
ขณะที่ผมคิดจะปฏิเสธ บอดใหญ่จ้าวกลับพูดขึ้น “มีประคำเส้นนี้เส้นเดียว?”
เขาพยักหน้า “เส้นนี้เส้นเดียว”
บอดใหญ่จ้าวหยิบเอาประคำขึ้นมาฟั่นบนมือ “ประคำวัชระชั้นยอด ราคาเท่าไหร่”
เจ้าของแผงตอบ “สามพัน”
บอดใหญ่จ้าวหันมาบอกกับผม “เสี่ยวชี จ่ายเงิน!”
ผมรู้สึกหงุดหงิด ประคำเฮงซวยเส้นหนึ่งราคาสามพันนี่นะ ถูกชาวบ้านตุ๋นไม่พอ ยังไม่รู้จักต่อราคาอีก
นึกไม่ถึง หลังผมจ่ายเงินเสร็จ แทนที่จะรับสร้อยประคำนั่นไว้ บอดใหญ่จ้าวกลับถามอีกฝ่าย “รวมส่งหรือเปล่า”
เจ้าของแผงพยักหน้า “รวมส่ง”
ผมแทบบ้าตาย จนป่านนี้แล้วบอดใหญ่จ้าวเฮงซวยยังจะมาพูดภาษาเถาเป่ารวมส่งไม่รวมส่งกันอยู่ได้ อีกเดี๋ยวคงไม่ใช่ว่าเจ้าของแผงจะเอ่ยปากขอคอมเมนต์ดีๆ ด้วยกระมัง
เจ้าของแผงไม่ได้พูดอะไรอีก พอห่อประคำเสร็จเขาก็สอดมันไว้ในอกเสื้อ หลังจากนั้นก็ถามที่อยู่กับบอดใหญ่จ้าว ก่อนจะเดินไปส่งพัสดุด่วนให้ที่ไปรษณีย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ผมคิดจะถามบอดใหญ่จ้าว แต่เขากลับส่งสายตาให้ผม บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น
กว่าชายเจ้าของแผงจะส่งพัสดุด่วนเสร็จก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขายื่นใบเสร็จให้พวกเรา ยังไม่ทันได้ดู บอดใหญ่จ้าวก็ชิงรับมันไปเสียก่อน หลังจากนั้นก็ลากผมออกจากแผงไปอย่างรวดเร็ว
ผมร้อนรน “เฮียจะไปไหน”
บอดใหญ่จ้าวกระซิบ “รีบไป มีคนสะกดรอยตามพวกเราอยู่!”
ผมสะดุ้ง คิดจะหันหน้ากลับไปมอง แต่บอดใหญ่จ้าวกลับพูด “อย่าหันหน้ากลับไป พวกเราแยกกันไปคนละทาง เอ็งเดินขึ้นหน้าตามถนนสายนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนข้าจะใช้ถนนอีกสาย อีกเดี๋ยวจะตามไปสมทบ”
ผมรับปากออกมาคำหนึ่ง ทำเป็นเดินขึ้นหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่แสร้งทำเป็นบังเอิญหันกลับไปมอง ผมพบว่าด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลมีชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยว สะพายเป้ไว้บนหลัง ใส่เสื้อแจ็กเก็ต สวมแว่นตากันแดดคอยเดินตามผมอยู่
ผมตื่นตระหนกสุดๆ ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ขณะที่กำลังเดินขึ้นหน้าไปเรื่อยๆ ขณะที่ถนนยาวๆ สายนี้กำลังจะสิ้นสุด ผู้คนเริ่มบางตา คนคนนั้นก็สาวเท้าใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่คิดจะปกปิดฐานะอะไรอีก
ในตอนนั้นเองจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องเต็มกำลังดังขึ้นที่ทางด้านหลัง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามารวดเร็ว ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงบอดใหญ่จ้าวตะโกน “เสี่ยวชี รีบขึ้นมา!”
คนที่อยู่ด้านหลังพอเห็นบอดใหญ่จ้าวพุ่งเข้ามาขวาง เขาก็โยนกระเป๋าเป๋ทิ้ง วิ่งไล่มาทางผมรวดเร็ว
บอดใหญ่จ้าวเบรกรถกะทันหัน ล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดกลิ่นเหม็นไหม้ บอดใหญ่จ้าวใช้ขาข้างหนึ่งยันพื้นไว้ แผดเสียงก้อง “กระโดดขึ้นมา!”
ผมไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากความ วิ่งเพียงไม่กี่ก้าวผมก็พุ่งกระโจนขึ้นไปนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ทันที แต่เพราะออกแรงมากเกิน ร่างกายเลยโอนเอนเกือบหล่นจากมอเตอร์ไซค์ โชคดีที่บอดใหญ่จ้าวคว้าเอาไว้ได้ทัน เขาบิดคันเร่งเต็มกำลัง รถมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
เพราะมอเตอร์ไซค์แล่นเร็วเกินไป ผมเองก็ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค สายลมที่ปะทะใบหน้าจึงบาดผ่านใบหน้าผมไม่ต่างจากใบมีดคมกริบ สองตาลืมไม่ขึ้น ผมกอดเอวบอดใหญ่จ้าวแน่น ประคองตัวเองไม่ให้ตัวเองตกลงไป
เพียงไม่นานด้านหน้าก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาขวางถนนไว้
บอดใหญ่จ้าวไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับคำรามอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวชี เอ็งเคยเห็นมิชาเอล ชูมัคเกอร์ขับรถหรือเปล่า”
ผมตะโกน “ไม่เคย!”
Related
Comments
