• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทที่ 3

    เมื่อถึงอพาร์ตเมนต์ ขณะกำลังจะนำตัวหูเอ๋อร์ฮุยและภรรยาไปสอบปากคำเพิ่มเติม ท่าทางและสีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไป พฤติกรรมของสวีซานแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา สั่งให้เธอทำอะไรก็ยอมทำตามทุกอย่าง ผมรู้สึกว่าเธอเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่ได้มีอาการทางจิตอย่างที่ได้ยิน หรืออาจจะจริงที่เธอจะมีอาการเฉพาะตอนฝนตก ส่วนหูเอ๋อร์ฮุยนั้นท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาร้องอยู่ตลอดว่าผมไม่มีสิทธิ์พาตัวเขาไปและไม่ยอมให้ผมพาเขาไปสอบปากคำที่สถานี แม้ผู้กำกับซ่งจะอธิบายอย่างไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายเสี่ยวหลี่ต้องลงมือรวบตัวเขา หูเอ๋อร์ฮุยก็แค่คนที่แข็งนอกอ่อนในเท่านั้น เสี่ยวหลี่สูงถึงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรและหนักถึงหนึ่งร้อยกิโลกรัม หากใครได้เจอก็ไม่แปลกที่จะกลัว

    ขณะเดินทางกลับ ไม่ว่าผมจะใช้วิธีการอะไรหูเอ๋อร์ฮุยก็ไม่ยอมรับว่าตนเองรู้จักเฉินหย่วนจาง เนื่องจากสวีซานนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา สามีที่ทำร้ายเธอมาเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพจิตใจได้รับผลกระทบ พวกผมจึงตัดสินใจรอให้ถึงสถานีตำรวจก่อนแล้วค่อยจับแยกกันสอบปากคำ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสวีซานจะให้การที่เป็นประโยชน์ต่อคดีนี้ กว่าจะถึงสถานีตำรวจก็ราวหกโมงเย็น ผู้กำกับซ่งไม่ได้ให้ผมเข้าร่วมการสอบปากคำ แต่บอกให้ไปหาไป่ฉีเพื่อค้นหาความจริงเรื่องของฟู่เสี่ยว

    เวลานัดประมาณสองทุ่มก็จริง แต่ขณะนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่มีการจราจรคับคั่ง จากระยะทางที่เคยใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงอาจต้องเดินทางนานถึงชั่วโมงเศษ ผมจึงรีบกินอาหารเย็น ประมาณหกโมงครึ่งก็ออกเดินทาง ผมไปถึงที่ร้านกาแฟก่อนเวลานัดเพียงสิบนาทีเท่านั้น แต่ไป่ฉีได้มานั่งรออยู่ด้านในก่อนแล้ว ทำให้ผมรู้สึกสงสัย หรือบ้านของเขาจะอยู่แถวนี้?

    ขณะทักทายทำความรู้จัก ผมก็สังเกตผู้ชายตรงหน้าไปพลาง งานเลี้ยงรุ่นวันนั้นผมดื่มจนไม่ค่อยมีสติจึงจำลักษณะของเขาไม่ค่อยได้ ไป่ฉีสูงประมาณผม น่าจะราวร้อยเจ็ดสิบเจ็ดถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร แต่ดูบึกบึนกว่ามาก กล้ามเนื้อหน้าอกดันเสื้อขึ้นมาเห็นชัดเป็นรูป หน้าตาดี ไว้หนวดเล็กน้อย ดูคล้ายกับนักแสดงที่ชื่อจางเสวียโหย่ว เมื่อเทียบฟู่เสี่ยวกับเขาแล้วช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่แปลกที่ฟู่เสี่ยวจะบอกว่าพวกเขาเข้ากันไม่ค่อยได้ พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาถามรายการอาหารทันที ผมจึงบอกให้เธอกลับไปก่อน และพูดคุยกับเขาตามมารยาทก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง

    “ผมเดาว่าฟู่เสี่ยวน่าจะบอกคุณเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าห้องเขาแล้ว”

    ไป่ฉีพยักหน้า “อืม ใช่ครับ ถ้าคุณมีอะไรอยากถามก็ถามมาเลย ผมยินดีที่ให้ความร่วมมือเต็มที่ อีกอย่างผมได้ยินเรื่องของคุณกับพี่สาวเขาเป็นประจำ เพื่อนของฟู่เสี่ยวก็คือเพื่อนของผมเหมือนกันนั่นแหละ”

    ผมยิ้มก่อนพูดต่อ “ครับ งั้นรบกวนคุณแล้ว”

    พลางคิดในใจ จากที่เขาพูด ถ้าเคยได้ยินเรื่องของผมกับเหม่ยซินบ่อยๆ ล่ะก็พวกเขาสองคนต้องสนิทกันพอสมควร

    “ที่จริงผมนัดคุณมาวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย ก็คือผมต้องการพยานหลักฐานเพื่อยืนยันว่าวันนั้นฟู่เสี่ยวไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุจริงๆ ไม่ทราบว่าเขาอยู่กับคุณทั้งคืนจนถึงประมาณหกโมงเช้าเลยใช่ไหม”

    ไป่ฉีตอบ “ใช่ครับ ก็วันนั้นเป็นวันเกิดของฟู่เสี่ยวไม่ใช่เหรอ เขาบอกว่าจะฉลองกับพวกคุณในวันเกิด ผมก็เลยนัดล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อฉลองให้ก่อน พวกเราดื่มกันทั้งคืน ผมเป็นพยานได้ว่าเขาอยู่กับผมตลอดเวลาครับ”

    ผมพยักหน้าพร้อมกับจดบันทึกไปด้วยและถามต่อ

    “ทำไมมีแค่พวกคุณสองคนล่ะครับ ผมไม่ได้คิดสงสัยคุณนะครับ แต่คุณก็รู้ว่าผมกับฟู่เสี่ยวสนิทกัน ถ้าผมถามเยอะหน่อยก็จะทำให้ฟู่เสี่ยวหลุดออกจากกลุ่มผู้ต้องสงสัย ยิ่งรู้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้นครับ”

    “อืม อันนี้ผมเข้าใจครับ” ไป่ฉีพยักหน้า “พักนี้จิตใจของฟู่เสี่ยวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจอปัญหาชีวิตเลยไม่ค่อยออกไปสังสรรค์ ยิ่งที่ที่มีคนเยอะเขาก็ไม่อยากไป”

    “แล้วคุณรู้ไหมว่าปัญหาชีวิตของฟู่เสี่ยวมันคืออะไร” ผมหยุดจดแล้วถามด้วยความสงสัย นี่คือสิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุด แต่ฟู่เสี่ยวไม่ยอมบอกผมกับเหม่ยซินเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

    “คุณไม่รู้เหรอ” ไป่ฉีมองผมด้วยความสงสัย “พ่อของเขาเล่นการพนันจนหมดตัว ส่วนแม่ก็เสียใจจนล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจหัวอกฟู่เสี่ยว “ที่ฟูเสี่ยวไม่บอกความจริงกับคุณอาจเป็นเพราะรู้สึกอายน่ะ”

    ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ หลังจากที่ได้ฟังผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พวกผมรู้จักฟู่เสี่ยวมานาน แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้กลับได้ยินจากปากของคนอื่น จึงเริ่มรู้สึกตงิดเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวเล็กน้อย หรือความสัมพันธ์ของผมกับฟู่เสี่ยวจะไม่เหมือนแต่ก่อน?

    “พอตอนเช้าคุณก็ไปส่งฟู่เสี่ยวเหรอ”

    “เปล่า ตอนเช้าผมรู้สึกแย่ คงเพราะดื่มเยอะไปหน่อย ก็เลยคิดเงินแล้วกลับบ้านก่อน ส่วนฟู่เสี่ยวนั่งรถแท็กซี่กลับไปเองครับ” ไป่ฉีตอบ

    “คุณสนิทกับเฉินหย่วนจางไหม” จู่ๆ ผมก็ถามเขา

    “หืม?” ไป่ฉีแปลกใจ “ใครเหรอครับ”

    “อ้อ ไม่มีอะไรครับ ผมถามเฉยๆ เผื่อคุณรู้จัก” ผมหัวเราะก่อนปิดสมุดในมือแล้วลุกขึ้น “งั้นพวกเราไปร้านคาราโอเกะกันครับ มันสำคัญมาก”

    “อ้อ ได้ครับ”

    ดูเหมือนคำถามของผมทำให้ไป่ฉีสับสน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก และลุกเดินตามผมออกมา

    ตอนนี้ไป่ฉีรู้เรื่องของฟู่เสี่ยวมากกว่าผม ถ้าฟู่เสี่ยวรู้จักเฉินหย่วนจาง เขาก็น่าจะรู้จักด้วย หากจู่ๆ ผมเอ่ยชื่อของเฉินหย่วนจางออกไป ปฏิกิริยาที่แสดงออกมาทันทีของเขาย่อมคือความจริง แต่จากปฏิกิริยาเมื่อกี้บ่งบอกว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook