• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทนำ และบทที่ 1

    หลังจากนั้นไม่ว่าเหม่ยซินจะพูดยังไงฟู่เสี่ยวก็ไม่ฟัง ยังคงยืนยันที่จะไปอยู่ห้องเช่าที่เคยมีคนตายนั่นให้ได้ แถมยังบอกอีกว่าช่วงนี้อยากเขียนการ์ตูนสยองขวัญเลยต้องการบรรยากาศที่เฮี้ยนๆ เพื่อจะได้มีจินตนาการไปใช้วาด สุดท้ายเหม่ยซินก็หันมาถลึงตาใส่ผมแล้วพูดว่า “เธอนี่มันพูดมากจริงๆ”

    ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ

    หลังจากคุยเรื่องที่พักกันเสร็จฟู่เสี่ยวก็เปลี่ยนเรื่องด้วยการหันไปดื่มอย่างหนักทันที แถมยังลากผมไปดื่มด้วย ผมดื่มไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ พองานเลี้ยงเลิกก็เมาเรียบร้อย เหม่ยซินพยุงผมกับฟู่เสี่ยวออกจากที่นั่นอย่างโซซัดโซเซ เธอไม่ได้ดื่มเหล้าเลยเพราะต้องมาขับรถให้ ถ้าผมกับเหม่ยซินดื่มจนเมาทั้งคู่ก็คงลำบากน่าดู ขณะที่กำลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ก็ได้ยินเสียงแตรดังขึ้น เหม่ยซินขมวดคิ้ว เธอเกลียดพวกที่บีบแตรแบบไร้เหตุผลที่สุด คนที่ทำแบบนี้มีแต่พวกไร้วัฒนธรรม ผมหันไปมองทางต้นเสียง มันคือรถนิสสันสีดำซึ่งมีชายหนุ่มที่สวมแว่นตาสีดำชะเง้อออกมาจากหน้าต่างด้านคนขับ เขาโบกมือให้พวกผมทั้งสามคน

    “เพื่อนนายเหรอ” เหม่ยซินเขย่าฟู่เสี่ยวที่ยังเมาแอ๋ เธอไม่จำเป็นต้องถามผมเพราะไม่มีเพื่อนของผมคนไหนที่เธอไม่รู้จัก

    ฟู่เสี่ยวที่เมาจนแทบไม่ได้สติเงยหน้าขึ้นและพยายามเพ่งมองก่อนจะยิ้มร่า

    “เพื่อนฉัน ใช่เพื่อนฉัน เขามารับฉันเอง ตอนนี้ฉันพักอยู่ที่บ้านเขาน่ะ”

    “เขาเป็นใคร” เหม่ยซินถาม

    “อ๋อ ผู้จัดการคนก่อนของฉันเอง เออน่ะ เธอพาไอ้ท่อนไม้นี่กลับบ้านไปเถอะ ฉันกลับกับเพื่อนก่อนล่ะ” พูดไม่ทันเสร็จฟู่เสี่ยวก็เดินโซเซไปที่รถคันนั้น

    หลังจากที่ฟู่เสี่ยวขึ้นรถ เหม่ยซินกับผมก็กลับบ้านเหมือนกัน

    หลังจากวันนั้นผมก็ลืมเรื่องห้องพักที่ฟู่เสี่ยวสนใจไปเสียสนิท แน่นอนว่าผมก็หวังให้ฟู่เสี่ยวลืมเหมือนกัน แต่ทว่า…

    ขณะที่ผมกำลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของสถานีตำรวจในเย็นวันจันทร์หลังจากเลิกงานก็เห็นฟู่เสี่ยวยืนอยู่ที่ป้อมยามในสภาพที่ทำให้ผมตกใจจนถึงขั้นนึกคำทักทายไม่ออก ฟู่เสี่ยวสะพายเป้ใบใหญ่ไว้ด้านหลัง ข้างๆ ยังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบและขาตั้งสำหรับวาดภาพอีกหนึ่งอัน เขาเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับบอกให้พาไปที่อพาร์ตเมนต์ที่มีคนตายนั่น ดูจากลักษณะท่าทางของฟู่เสี่ยวแล้วคงไม่ใช่แค่ไปชม แต่ตั้งใจจะย้ายเข้าไปอยู่วันนี้เลย ผมไม่ได้พาเขาไปทันทีหรอก แต่บอกให้รอผมทำธุระให้เสร็จก่อน จากนั้นก็แอบออกมาโทรศัพท์หาเหม่ยซิน เธอไม่ได้แย้งอะไรแต่กลับด่าผมไม่หยุด ต่อว่าที่วันนั้นผมพูดมาก ผมเอากระเป๋าเดินทางของฟู่เสี่ยวไปไว้ที่ท้ายรถ จากนั้นจึงพาเขาไปทางทิศเหนือของวงแหวนที่ห้า

    ท้องฟ้าเดือนมิถุนายนหาความแน่นอนไม่ได้จริงๆ ตอนที่พวกผมออกมาฟ้ายังใสไร้เมฆ แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ฟ้ากลับมืดครึ้มเหมือนเวลากลางคืนไม่มีผิด โชคดีที่ก่อนหน้านี้ผมติดต่อกับทางเจ้าของอพาร์ตเมนต์ไว้แล้วว่าจะเข้ามาดู ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยู่รอจนถึงเย็นขนาดนี้หรอก

    ผมจอดรถที่หน้าทางเข้าของตึกสามชั้นแห่งหนึ่ง ตรงหน้าประตูมีต้นไม้ต้นเล็กๆ ปลูกอยู่ คิดว่าคงมีคนเพิ่งเอามาลงได้ไม่นานเพราะลำต้นยังเล็ก แต่กลับออกใบจนขึ้นเป็นพุ่มหนาแน่น ที่นี่คืออพาร์ตเมนต์ที่มีคนตาย เป็นตึกใหม่ มีสามชั้น เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน ตรงทางเข้าด้านหน้ามีป้ายไม้เขียนไว้ว่า ‘อพาร์ตเมนต์สามชั้น’ ขณะที่ผมกับฟู่เสี่ยวกำลังลงมาจากรถก็มีผู้หญิงอายุราวสี่สิบปีเข็นรถจักรยานเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตร

    “ใช่ที่บอกว่าจะเข้ามาดูห้องหรือเปล่า”

    เนื่องจากครั้งที่แล้วผมมาทำคดีคนตายที่นี่เลยรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือเจ้าของอพาร์ตเมนต์ จึงรีบทักทายเธอ “ฮ่าๆ ใช่ครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงเวลาเลิกงานรถติดมากเลยมาช้า”

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์โบกมืออย่างหมดความอดทนไม่ให้ผมพูดต่อ เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบกุญแจยื่นมาให้ผม

    “พวกคุณจะอยู่ห้อง 303 ใช่ไหม เข้าไปดูกันเองละกัน เดี๋ยวฉันจะรออยู่ตรงนี้แหละ เร็วๆ ล่ะ”

    “ผมจะเข้าพักวันนี้เลยต่างหาก” ฟู่เสี่ยวพูดแทรก

    “จะเข้าพักเหรอ” เจ้าของอพาร์ตเมนต์มองพวกผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “เข้าไปดูก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ อย่าพูดจาอะไรไร้สาระ”

    “ไม่ต้องเข้าไปดูอะไรหรอก เดี๋ยวผมจะย้ายเข้าเลย คุณเอากุญแจห้องให้ผมก็พอ” ฟู่เสี่ยวพูดยิ้มๆ

    “คุณเป็นตำรวจสินะ ฉันคุ้นๆ ว่าครั้งที่แล้วฉันเห็นคุณ” เจ้าของอพาร์ตเมนต์มองมาที่ผม ผมจึงพยักหน้า “ในเมื่อคุณเป็นตำรวจ งั้นฉันจะเชื่อคุณ พวกคุณไม่ต้องทำเอกสารย้ายเข้าหรอก เข้าไปอยู่ได้เลย เดี๋ยวอีกสองวันฉันจะมาเอาค่าเช่า ตามที่บอกว่าเดือนละเจ็ดร้อยหยวน ต้องจ่ายล่วงหน้าทุกเดือน”

    ผมพยักหน้ารับ “ได้ครับ ไม่มีปัญหา คุณรีบกลับเถอะ ดูท่าวันนี้ฝนน่าจะตก”

    เจ้าของอพาร์ตเมนต์ไม่สนใจที่ผมพูดด้วยซ้ำ เธอกลับขึ้นจักรยานแล้วปั่นออกไปเลย

    เนื่องจากสัมภาระของฟู่เสี่ยวมีไม่เยอะมากเราจึงขนขึ้นไปบนห้องแค่รอบเดียว ภายในอพาร์ตเมนต์ตกแต่งแบบเดียวกับโรงแรม เป็นลักษณะประตูห้องพักชนกัน ทุกชั้นมีเพียงเจ็ดห้องเท่านั้น มีเพียงห้องเดียวที่ประตูห้องหันเข้าหาบันได ชั้นหนึ่งเป็นออฟฟิศสำหรับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ใช้ทำงานในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนจะไม่มีใครอยู่ หลังจากเดินเข้าไปในห้องฟู่เสี่ยวก็เปิดไฟและมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม ขนาดของห้องกำลังพอดี ทางทิศใต้ของห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ที่กินพื้นที่เกือบเต็มผนัง ด้านนอกไม่มีกันสาด คาดว่ากลางวันน่าจะร้อนพอสมควร ทางด้านซ้ายมือของห้องคือครัวขนาดเล็ก เดินตรงเข้าไปหน่อยเป็นห้องน้ำ การจัดวางของห้องถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เสียแต่ว่าเฟอร์นิเจอร์มีเพียงเตียงเหล็กหนึ่งเตียงและเก้าอี้สองตัวเท่านั้น แต่ดูเหมือนฟู่เสี่ยวจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เขาบอกเพียงว่าของน้อยสิดี ดูแล้วสะอาดตา

    นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้เข้ามาในห้องนี้ ครั้งแรกคือเมื่อสัปดาห์ก่อน สภาพศพที่เน่าอืดนั่นทำให้ผมรู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเสียจริง ผมชี้ไปที่ใต้เตียง ฟู่เสี่ยวหันมองตามที่ผมชี้ก่อนจะถามอย่างสงสัย

    “มีอะไร”

    “รู้ไหม เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีกองเลือดอยู่ใต้เตียงนั่น เจ้าของห้องคนก่อนเป็นผู้หญิง เธอฆ่าตัวตายในห้องนี้ กว่าจะมีคนมาพบศพก็อาทิตย์กว่า ศพนี่เน่าอืดหมดแล้ว”

    ฟู่เสี่ยวพยักหน้า “อืม แล้วไงต่อ” เขายังคงหยิบของออกมาจากกระเป๋าเดินทางโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น

    “แล้วไงต่อ? นี่แกจะอยู่ที่นี่จริงๆ หรือไง ไม่กลัวว่าคืนนี้จะเจอดีเหรอ เดี๋ยวฉันจะปิดไฟแล้วส่องแบล็กไลต์ให้แกดูคราบเลือด” ผมพูดขู่ให้ฟู่เสี่ยวกลัว ไม่อยากให้เขาพักที่นี่เลยจริงๆ

    “แกจะบ้าหรือไง จะส่องดูทำไมไอ้คราบเลือดนั่น แล้วจะไปเอาแบล็กไลต์มาจากไหน ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย ฉันว่าที่นี่น่าอยู่ออก ฉันจะอยู่ ห้องก็สวย ค่าเช่าก็ถูก แถมน่าจะช่วยให้ฉันเขียนการ์ตูนเสร็จด้วย ฉันกำลังเขียนการ์ตูนสยองขวัญอยู่นะเว้ย ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้นี่เหมาะจริงๆ”

    ฟู่เสี่ยวพูดมาซะขนาดนี้ เห็นทีคงเปล่าประโยชน์ที่ผมจะไปบังคับอะไร

    หลังจากที่จัดข้าวของและสัมภาระต่างๆ ให้เข้าที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับฟู่เสี่ยวก็ตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกิน แล้วหลังจากนั้นผมจะกลับเลย ตอนออกมาจากห้อง ข้างนอกมืดสลัวจนเกือบมองไม่เห็นทางเดิน ผมแตะเปิดสวิตช์ไฟอยู่หลายครั้งแต่มันกลับไม่ทำงาน ทั้งที่จำได้ว่าเมื่อตอนขามาไฟยังดีๆ อยู่เลย ทางเดินหน้าห้องยาวเพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น สุดทางเดินด้านซ้ายและขวามีหน้าต่างเล็กๆ สองบานที่ตอนนี้มืดสนิท จนดูเหมือนว่าพวกผมกำลังอยู่ในโลงศพรูปร่างแปลกๆ และทันใดนั้นเองมือหนึ่งก็คว้าเข้าที่แขนผม

    ผมพยายามสะบัดแต่ก็สะบัดไม่ออก จึงหัวเราะ

    “ทำไม กลัวหรือไง ถ้ากลัวก็อย่าอยู่ที่นี่เลย เปลี่ยนที่เถอะ”

    “หือ? แกคุยกับใครอ่ะ”

    เสียงของฟู่เสี่ยวดังมาจากด้านหน้าไม่ไกลนัก ตัวของผมเย็นเฉียบ รีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วส่องไฟไปที่แขนตัวเองทันที หัวใจผมเหมือนหยุดเต้นฉับพลัน ใบหน้าอ้วนกลม ดวงตากลมโตกำลังจ้องมาที่ผม แต่สิ่งที่แปลกคือตาดำนั้นเล็กจนแทบมองเห็นแต่ตาขาว ผมเพ่งมองอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ…เป็นผู้หญิง ผมพยายามสะบัดมือเธอออก แต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมปล่อย ผู้หญิงคนนี้แรงเยอะจริงๆ

    Comments

    comments

    Continue Reading
    Click to comment

    Leave a Reply

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

    This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook