• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทนำ และบทที่ 1

    4 of 4หน้าถัดไป

    “คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ ปล่อยมือก่อนแล้วคุยกันดีๆ ได้ไหม”

    เธอเพ่งมองมาที่ผม ดวงตาเธอใหญ่และถลนจนดูเหมือนว่ามันอาจหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อไหร่ก็ได้ ตาดำก็เล็กมากจนน่ากลัว ขณะที่ผมกับฟู่เสี่ยวสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใบ้หรือเปล่านั้นเธอก็พูดออกมา

    “ระวังเด็กคนนั้นนะ เขาจะพามันมา”

    เสียงนั้นไพเราะราวกับว่าไม่ใช่เสียงจริงๆ ของเธอ แต่ในขณะที่พูดท่าทางก็ดูเป็นกังวลและแฝงไปด้วยความกลัว เธอมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ทันใดนั้นประตูห้อง 306 ซึ่งเป็นห้องตรงข้ามห้อง 303 ของฟู่เสี่ยวก็เปิดออก แสงไฟจากในห้องนั้นทำให้ผมเห็นผู้หญิงที่กำลังเกาะแขนได้อย่างชัดเจน เธอสวมชุดนอนบางๆ สีแดงแต่ข้างในกลับไม่ได้ใส่อะไรเลย นี่เธอเป็นใครกัน ผมนึกสงสัย

    จู่ๆ ก็มีเสียงคนตะคอกดังออกมาจากในห้อง

    “แกจะไปเกาะไอ้หน้าขาวนั่นหาพระแสงอะไรอยู่ตรงนั้นฮะ!” ชายร่างผอมและตัวเล็กผู้เป็นเจ้าของเสียงพุ่งตัวออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว เขาก้าวฉับๆ เข้ามาหาผู้หญิงที่เกาะแขนผมอยู่แล้วตบหน้าเธออย่างไร้ปรานี ท่าทางเธอดูหวาดกลัวชายผู้นี้มากจึงรีบปล่อยมือจากแขนผมแล้วถอยหลบไปด้านหลัง

    “ตอนฝนตกอาการก็กำเริบ พอฉันเผลอหลับไปแป๊บเดียวก็หนีออกมา ฉันไม่น่าแต่งงานกับคนบ้าอย่างแกเลยให้ตายสิ ยังไม่รีบกลับเข้าไปในห้องอีก!” ชายร่างเล็กเริ่มตวาดอีกครั้งหนึ่ง

    ผู้หญิงคนนั้นห่อตัว เตรียมเดินกลับไปที่ห้องอย่างหวาดกลัว แต่ไม่ทันที่เธอจะเดินพ้นชายร่างเล็ก เขากลับยกมือฟาดลงไปที่ศีรษะเธออีกหลายครั้งแล้วลากตัวเข้าห้องไป

    “เฮ้ยเดี๋ยว” ผมทนเห็นภาพตรงหน้าต่อไปไม่ได้ “คุณทำร้ายคนอื่นอย่างนี้ได้ยังไง”

    ชายร่างเล็กชะงักก่อนจะหันกลับมามองผมกับฟู่เสี่ยว แล้วย้อนถามอย่างดูแคลน

    “ทำไม ฉันจะตีเมียฉันไม่ได้หรือไง ตีมันแล้วไปโดนต่อมไหนของแกไม่ทราบ ไอ้พวกไร้น้ำยาอย่างแกอย่ามาทำเป็นปากดีกับฉันหน่อยเลย”

    ผมมองไปที่ชายตรงหน้าอย่างเกลียดชังก่อนจะหยิบตราตำรวจออกมาให้ดู ใบหน้าเขาเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นมัน

    “ผมผิดไปแล้วครับ ผมผิดไปแล้ว ทีหลังผมไม่กล้าอีกแล้วครับ” พอเขาพูดเสร็จก็รีบปิดประตูห้องทันที สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นตราตำรวจทำให้ผมนึกสงสัย อะไรเป็นเหตุให้ชายคนนี้กลัวตราตำรวจขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรสักอย่างปิดบังไว้แน่นอน แต่ขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูฟู่เสี่ยวกลับห้ามผมไว้

    “พอเถอะ ไม่ต้องตามแล้ว นั่นมันเรื่องของผัวเมียนะเว้ย ตำรวจอย่างแกจะไปยุ่งทำไม”

    คิดไปคิดมาที่ฟู่เสี่ยวว่าก็ถูก ผมอาจจะคิดมากไป ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นแค่จิ๊กโก๋ขี้ขลาดธรรมดานี่เอง

    ใกล้ๆ กับอพาร์ตเมนต์มีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ไม่มาก ผมกับฟู่เสี่ยวเลยสุ่มเลือกร้านที่ดูท่าทางสะอาดที่สุด ระหว่างกำลังกินอาหารผมก็ถามฟู่เสี่ยวด้วยความสงสัย

    “งานเลี้ยงวันนั้นที่มีคนมารับแก แกบอกว่าเขาเป็นผู้จัดการ อย่างแกนี่มีผู้จัดการด้วยเหรอวะ”

    ฟู่เสี่ยวดูท่าทางตกใจกับคำถามของผม “ก็ใช่น่ะสิ ทำไม”

    “เปล่า ไม่มีอะไร ฉันก็ถามไปงั้น เออจริงสิ ตอนนี้ที่แกจนเพราะว่าทะเลาะกับที่บ้านใช่ไหม” ผมถาม

    “ทำไมฉันต้องไปทะเลาะกับที่บ้านด้วยวะ เอาน่ะ อย่าถามเรื่องของฉันเลย” ฟู่เสี่ยวตอบเลี่ยงๆ

    ถึงแม้ว่าฟู่เสี่ยวจะห้ามไม่ให้ซักต่อ แต่จากท่าทางที่แสดงออกมาผมเดาว่าถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ในเมื่อเขาไม่อยากพูดผมก็ไม่อยากถามซ้ำ ถ้ามีโอกาสผมว่าจะให้เหม่ยซินถาม มันคงจะดีกว่าเพราะว่าพวกเขาสนิทกันเหมือนพี่น้องที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ผมเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

    “แล้วตอนนี้แกคิดจะทำยังไง จะวาดภาพต่อหรือหางานทำล่ะ”

    ฟู่เสี่ยวถอนหายใจ “ฉันเซ็นสัญญากับบริษัทนึงไว้ว่าจะทำการ์ตูนสยองขวัญสักเรื่อง ตอนนี้การ์ตูนสยองขวัญกำลังมาแรง แต่ปัญหาก็คือฉันยังจับอารมณ์เขียนไม่ได้ เลยคิดว่าที่นี่น่าจะช่วยฉันได้ นอกจากวาดภาพแล้วฉันก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ก็เลยต้องทำตามนี้ล่ะมั้ง ทำไปวางแผนไป”

    “แล้วผู้จัดการคนนั้นไม่ช่วยแกบ้างหรือไง เขาน่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะ” ถึงแม้ว่าผมจะเคยเห็นผู้จัดการคนนั้นแค่ไม่กี่วินาที แต่ก็รู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นคนที่พึ่งพาได้พอสมควร

    “เขาดีกับฉันมาก แต่ว่าเราเข้ากันไม่ค่อยได้ว่ะ เลยไม่ค่อยอยากรบกวนเท่าไหร่” ฟู่เสี่ยวพูดด้วยสายตาเศร้าหมอง

    ผมคิดว่าฟู่เสี่ยวคงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากนักเลยไม่อยากซักไซ้เขาต่อ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหน ยังไงมันก็ต้องมีบางเรื่องที่พูดออกมาไม่ได้เหมือนกัน แต่จากไม่กี่วันที่ได้เจอกันผมรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวน่าจะผ่านอะไรมาหลายอย่างจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่อยากพูดกับผมเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก งั้นผมคงต้องสืบหาเองซะแล้ว

    หลังจากกินอาหารเสร็จฟู่เสี่ยวก็แย่งผมจ่ายเงิน พวกเราวิ่งฝ่าสายฝนกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ ตอนแรกผมกะว่าจะไม่กลับขึ้นไปบนห้อง แต่ไม่ว่ายังไงฟู่เสี่ยวก็ไม่ยอม เขายืนยันที่จะให้ผมขึ้นไปเอาร่มบนห้องก่อน หลังจากได้ร่มแล้วผมก็ออกมาจากห้องโดยที่ไม่ได้ให้ฟู่เสี่ยวมาส่ง และบอกให้ฟู่เสี่ยวระวังอันตราย หากเกิดอะไรขึ้นให้โทรหาผมหรือเหม่ยซินทันที

    ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดมาจนถึงระหว่างชั้นสองกับชั้นสามก็มีคนวิ่งสวนขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็วและชนผมเข้าอย่างจัง เป็นจังหวะเดียวกับที่มีแสงฟ้าแลบจากด้านนอกส่องเข้ามา แสงนั้นทำให้ผมเห็นว่าคนคนนั้นกำลังหลบเพื่อไม่ให้ผมเห็นเขาได้ชัดเจน เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้นแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไป ผมชะงักเนื่องจากสังเกตเห็นรอยเลือดที่อยู่บนหน้าเขา ด้วยความเคยชินของอาชีพตำรวจผมจึงตะโกนเรียกให้หยุดวิ่ง แต่เขากลับไม่สนใจที่ผมพูด พอเขาวิ่งเลยมุมผนังผมก็มองไม่เห็นเงาของเขาเสียแล้ว ผมตามคนคนนั้นไป ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวตรงหัวมุม เสียงปิดประตูห้องก็ดังขึ้น ผมสาดไฟบนหน้าจอโทรศัพท์ออกไป แต่บนทางเดินกลับไม่มีใครและผมก็ไม่ทราบว่าคนคนนั้นหายเข้าไปในห้องไหน

    หากคนเมื่อกี้เป็นผู้เช่าล่ะก็ผมคงต้องตัดใจซะแล้ว เพราะจากที่เจ้าของอพาร์ตเมนต์บอก ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องลงทะเบียนเสียก่อนถึงจะย้ายเข้ามาอยู่ได้ ฉะนั้นเมื่อกี้นี้คงไม่ใช่คนร้ายอะไร แถมตอนนี้ผมต้องรีบกลับบ้านแล้วด้วย

    แม้ฝนจะตกหนักตลอดทั้งคืน แต่ตอนเช้าท้องฟ้าก็แจ่มใส หลังจากตื่นนอนผมก็ปรึกษาเหม่ยซินเกี่ยวกับฟู่เสี่ยว พวกเราคิดว่าจะเข้าไปหาในวันศุกร์เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดของเขาพอดี ตั้งสองปีแล้วที่เราไม่ได้ติดต่อกันเลย มาเจอกันอีกทีก็งานเลี้ยงรุ่น และถือเป็นโอกาสดีเพราะผมก็อยากจะซื้อของใช้จำเป็นต่างๆ ให้ เนื่องจากตอนช่วยย้ายของผมเห็นว่าเสื้อผ้าของฟู่เสี่ยวมีอยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์วาดภาพ ส่วนของใช้ที่จำเป็นต่างๆ ก็ไม่เห็นมีสักอย่าง

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    สามารถติดตามทดลองอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> หอดับจิต บทนำ และบทที่ 1หอดับจิต บทที่ 2หอดับจิต บทที่ 3

    4 of 4หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading
    Click to comment

    Leave a Reply

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

    This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook