ต่อให้นางพร่ำบอกตนเองว่าไม่ต้องคิดอะไรให้สับสนวุ่นวายอีก แต่ทันทีที่ย่างเท้าขึ้นบนรถม้าสีหมึก นางก็สังเกตพบว่าสีบนกระโจมหลังคายังไม่แห้งสนิทดี ล้อสูงต่ำไม่เสมอกัน ม่านมีฝุ่นจับเขรอะ ม้าแม้จะรูปร่างสูงใหญ่ก็จริงอยู่ แต่ยามมันชักเท้าออกเดินกลับตุปัดตุเป๋ไปมา ไม่รู้เพราะเกือกม้ามีปัญหา หรือจังหวะก้าวย่างของมันเป็นเช่นนี้อยู่แต่เดิม เป็นแค่ม้าเลวที่ไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อนตั้งแต่แรกกันแน่ แม้แต่สารถีผู้นี้ ประสบการณ์การบังคับรถก็ยังสู้เผยเสวียนจิ้งเองไม่ได้ ถนนหนทางหรือก็เหมือนจะไม่ใคร่รู้จัก
ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมาย เผยเสวียนจิ้งก็หลอกถามเอาความจริงจากสารถีได้อย่างไม่ยากเย็น เจินซื่อคิดอยากจัดงานให้ดูสมเกียรติ แต่กลับไม่ยอมสิ้นเปลืองเงินทอง จึงไปหารถม้าถูกๆ เช่นนี้มา ก่อนจะตกแต่งปลอมแปลงให้ดูเป็นรถม้าสีหมึกที่นิยมกัน
เจินซื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย แต่คนที่ลำบากกลับเป็นเผยเสวียนจิ้ง ทันทีที่เริ่มเดินทางทั้งรถทั้งม้าก็เริ่มออกอาการสารพัด หนำซ้ำตลอดหลายวันมานี้อากาศยังร้อนอบอ้าวผิดปกติ ทุกวันพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่เท่าไร ถนนหนทางก็ถูกแสงแดดแผดเผาจนร้อนระอุไปหมด ม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาดีย่อมทนต่อสภาพอากาศเช่นนี้ได้ แต่ม้าของพวกนางตัวนี้กลับหยุดนิ่งอยู่ใต้เงาไม้ไม่ยอมขยับเอาเสียดื้อๆ
หลังการเดินทางแบบเดินๆ หยุดๆ หยุดๆ เดินๆ นี้ดำเนินมาจนถึงพลบค่ำของวันที่เจ็ด ในที่สุดพวกนางก็ต้วมเตี้ยมราวกับเต่ามาถึงยังนอกเมืองฉางอัน เดิมคิดว่าชัยชนะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้ว แต่ใครจะไปรู้ เสียงกลองบอกสัญญาณเย็นกลับดังขึ้น ตลอดชั่วชีวิตเผยเสวียนจิ้งเพิ่งพบเจอกฎห้ามเข้าออกเมืองหลวงยามวิกาลเป็นครั้งแรก จึงได้แต่เบิกตากว้างมองดูประตูทงฮว่าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลปิดลงอย่างช้าๆ
ตามติดมาด้วยเสียงฟ้าคำรามดังลั่นเหนือศีรษะ
พอนึกย้อนมาถึงตรงนี้ เผยเสวียนจิ้งก็ให้รู้สึกว่าการมานั่งอยู่ในบ้านของท่านอาได้โดยสวัสดิภาพเช่นนี้นับว่าเป็นวาสนายิ่งนัก
แต่นางมิได้นึกตำหนิผู้เป็นมารดาเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย ต่อให้วิธีการของเจินซื่อออกจะใจไม้ไส้ระกำเกินไปสักหน่อย แต่อย่างไรนางก็ยังอุตส่าห์เตรียมพิธีออกเรือนให้เผยเสวียนจิ้งอย่างยิ่งใหญ่ ที่เจินซื่อทำเช่นนี้ก็เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเผยเสวียนจิ้งบุตรีคนโตผู้สืบสายเลือดโดยตรงของเผยเซิงออกจากบ้านไปคราวนี้จะไม่หวนกลับมาอีก บุตรีที่แต่งออกไปย่อมเหมือนน้ำที่สาดทิ้งไม่มีวันหวนคืน ในเมื่อเผยเสวียนจิ้งไม่ได้อยู่ในฐานะ ‘คุณหนูเผย’ อีกต่อไปแล้ว นางก็ย่อมไม่มีคุณสมบัติใดจะมาแย่งชิงทรัพย์สมบัติกับพวกน้องๆ อีก
ในจุดนี้ ความคิดอ่านของเผยเสวียนจิ้งกับเจินซื่อล้วนไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่าง
เผยเสวียนจิ้งเองก็ไม่คิดจะย้อนกลับไปที่อำเภอหย่งเล่อเมืองผูโจวอีก ที่นั่นไม่มีอันใดให้นางต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือนางแต่งออกมาแล้ว นับแต่นี้สิ่งที่นางทำได้มีเพียงต้องอยู่กินกับผู้เป็นสามี จะเป็นตายเช่นไรก็จะไม่มีวันแยกจากเท่านั้น
“เสวียนจิ้ง…”
ความคิดอ่านของเผยเสวียนจิ้งหยุดชะงัก นางแหงนหน้าขึ้น มองเห็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสนของหยางซื่อผู้เป็นอาสะใภ้
หยางซื่อเหมือนมีอะไรจะพูดแต่กลับหยุดไว้เพียงเท่านั้น “หลานอา ท่านอาของเจ้ากว่าจะกลับก็ยังต้องอีกพักใหญ่ มีเรื่องบางเรื่องอาสะใภ้ต้องบอกให้เจ้ารับรู้ไว้ก่อน”
“ท่านอาเชิญกล่าว”
หยางซื่อถอนหายใจ นางพูด “ขณะไม่ได้สติเจ้าเอาแต่เพ้อเรียกชื่อคนผู้หนึ่ง…ฉางจี๋”
มือทั้งสองข้างของเผยเสวียนจิ้งเผลอจิกลงบนเชือกรัดเอว สำหรับนางแล้วเขามีความสำคัญยิ่งนัก ถึงจะเป็นเพียงชื่อ แต่หากมีคนพูดออกมาให้ได้ยิน ใจนางก็เหมือนถูกความหวานชื่นขื่นขมห่อหุ้มทับซ้อนขึ้นมาทันที
หยางซื่อพิจารณาดูหลานสาวที่เพิ่งรู้จักคนนี้โดยละเอียด ความอ่อนล้าจากการเดินทาง อาการตกใจเสียขวัญสั่นสะท้านจับไข้ ทำให้นางดูอายุน้อยกว่าความเป็นจริงอยู่เล็กน้อย แต่ใบหน้างดงามฉลาดเฉลียวแกมดื้อรั้นนั้นกลับคล้ายเผยตู้ผู้เป็นอายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้หยางซื่อจึงรู้สึกสนิทสนมกับเผยเสวียนจิ้งขึ้นมาโดยปริยาย นางสังเกตเห็นท่าทีไหวหวั่นอย่างปิดบังไม่อยู่ของเผยเสวียนจิ้งตอนนางพูดคำว่า ‘ฉางจี๋’ สองคำออกมาได้อย่างชัดแจ้ง เฮ้อ หยางซื่อคิดในใจ นางมักได้ยินเผยตู้พูดถึงหลานสาวคนนี้ว่ามากสามารถอย่างนั้นอย่างนี้ แท้แล้วก็แค่เด็กสาวที่ตกอยู่ในบ่วงสิเน่หาจนยากจะถอนตัวคนหนึ่งเท่านั้น
คำพูดต่อมายิ่งยากเกินจะเอ่ยปาก แต่จะไม่พูดก็คงไม่ได้
หยางซื่อตัดสินใจเด็ดขาด นางกล่าว “เสวียนจิ้ง งานมงคลของเจ้าเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป…