• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 3 บทที่ 1

    ปรมาจารย์จางซานเฟิงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของการตัดกิเลสฝึกบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเซียน ในสายตาของศิษย์อู่ตังยุคปัจจุบันกลับกลายเป็นเทพสงครามผู้คุ้มครองปณิธานแห่งการครองยุทธภพ

    ไม่รอให้กุ้ยตันเหลยสั่งการ โหวอิงจื้อก็ถกชุดคลุมขึ้น คุกเข่าสองข้างลง โขกศีรษะใส่พื้นให้รูปปั้นเซียนสามครั้ง

    กุ้ยตันเหลยและฝานจงเองก็ต่างโขกศีรษะ ฝานจงหยิบธูปหอมสามดอกบนโต๊ะบูชาเซียนมาจุดไฟ มอบให้โหวอิงจื้อปักธูป โหวอิงจื้อหลังปักธูปยังคุกเข่าโขกศีรษะอีกสามครา

    “เท่านี้ก็พอแล้ว” กุ้ยตันเหลยพยุงโหวอิงจื้อขึ้น “ในเมื่อรองเจ้าสำนักเยี่ยได้รับเจ้าเข้าสำนักที่ซื่อชวน ทุกอย่างเอาแค่ง่ายๆ ก็พอ” มันแย้มยิ้มแล้วกล่าวอีก “ถึงอย่างไรยี่สิบกว่าปีมานี้พวกเราสำนักอู่ตังก็มิได้พิถีพิถันเรื่องพิธีรีตองนี้อีกแล้ว”

    โหวอิงจื้อยามนี้มองเห็นในตำหนักเจินเซียนยังมีคนอีกสามคน ทั้งสามดูคล้ายอายุราวสามสิบกว่าสี่สิบปี ในนั้นชุดที่สองคนสวมเป็นชุดต่อสู้สีเขียวเข้มสายเต่าพิทักษ์แบบเดียวกับกุ้ยตันเหลย อีกคนหนึ่งสวมชุดดำของสายพลอีกา มองดูสหายร่วมสำนักอีกสองคนฝึกซ้อมอยู่ สองคนนั้นฟาดฝ่ามือประแขน ท่วงท่าและเพลงเท้าสมบูรณ์แบบ ผลักดันเบียดเสียดสลายแรงกันอยู่ นี่คือกำลังฝึกฝนท่า ‘ผลักมือ’ อันเลื่องชื่อของไท่จี๋

    ครั้งแรกที่มองเห็นศิษย์สำนักอู่ตังฝึกยุทธ์ โหวอิงจื้อแม้มองไม่เข้าใจผลลัพธ์ของท่าผลักมือนี้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่มันก็รู้ว่าอยู่ในสถานที่สำคัญเช่นตำหนักเจินเซียนนี้ สิ่งที่ถ่ายทอดและฝึกฝนต้องเป็นวิชายุทธ์ขั้นสูงอย่างยิ่งเป็นแน่ ศิษย์แรกเข้าสำนักเช่นตนเองนี้ไม่สมควรลอบมองเป็นอันขาด จากนั้นก็มิกล้ามองอย่างละเอียดอีกสักแวบเดียว

    ฝานจงมองเจตนามันออกจึงยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร อยากดูก็ดูเถิด เรียนได้ก็เรียนไป ในสำนักอู่ตังไม่มีข้อห้าม ‘ลอบเรียน’ ไร้สาระประเภทนี้”

    “ขอเพียงเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์และความสามารถ พวกเราไม่กลัวว่าจะถ่ายทอดให้กันจนหมดเปลือก กลัวแต่เจ้าจะเรียนได้ไม่เร็วพอ” กุ้ยตันเหลยก็อธิบายอยู่ด้านข้าง “ผู้ที่ไม่มีความสามารถ ต่อให้มองดูอีกกี่ร้อยรอบก็เรียนมิได้อย่างแน่นอน”

    โหวอิงจื้อได้ยินหัวใจก็ร้อนรุ่ม มันไม่อาจเลื่อนเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคาของสำนักชิงเฉิงด้วยกันกับเยียนเหิง จึงรู้สึกไม่พอใจตลอดมา มันไม่เชื่อว่ามีวรยุทธ์อะไรที่เยียนเหิงเรียนได้แต่มันเรียนมิได้ เมื่อรู้ว่ารูปแบบการถ่ายทอดฝึกฝนของสำนักอู่ตังอิสระเปิดเผยเช่นนี้ และสำนักอู่ตังก็กำจัดสำนักชิงเฉิงได้อย่างราบคาบ โหวอิงจื้อรู้สึกว่านี่เหมือนการพิสูจน์แล้วว่าความคิดของมันถูกต้อง

    “เพียงแต่…” กุ้ยตันเหลยกล่าวอีก “ตำหนักเจินเซียนคืออาศรมอันเงียบสงบ ยามปกติมีเพียงเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักจึงจะฝึกฝนที่นี่ได้ อย่ามัวร่ำไรอีกเลย พวกเรายังต้องไปอีกสถานที่หนึ่ง” กล่าวพลางนำโหวอิงจื้อจากไป

     

    ทั้งสามออกมาจากอารามอวี้เจินแล้วเดินไปบนทางบูชาเทพขุนเขาซึ่งปูด้วยหิน

    โหวอิงจื้อรู้สึกว่าศิษย์พี่สองคนนี้ล้วนจริงใจโอบอ้อมเกินกว่าความคาดหมายของมันมาก มันเห็นศิษย์สายพลอีกาแห่งขบวนเดินทางไกลซื่อชวนล้วนหน้าตาผยองบึ้งตึง เหมือนเจียงอวิ๋นหลันและซีเจาผิงที่ต่างพูดจาไม่ดี ในใจคิดว่าบรรยากาศในสำนักอู่ตังก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่คิดว่ากลับเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง

    ยามนี้มันจึงกล้าเอ่ยปากถาม “ศิษย์พี่กุ้ย เมื่อครู่ท่านบอกว่าตำหนักเจินเซียนมีเพียงเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักจึงจะใช้ด้านในฝึกฝนได้…เช่นนั้นสามท่านเมื่อครู่…”

    “พวกมันไม่เหมือนกัน” ขณะกุ้ยตันเหลยกล่าวได้เก็บรอยยิ้มแล้ว “สามคนนั้นคือ ‘ตัวสำรอง’ ”

    “ตัวสำรอง?”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook